• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 15 มกราคม 2562

    15 มกราคม 2562 | Economic News
\
·       ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในวันนี้ประมาณ 0.12% ที่ระดับ 95.48 จุด จากกระแสคาดการณ์ที่ตอกย้ำว่าเฟดมีท่าทีจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะเดียวกันค่าเงินปอนด์มีการปรับขึ้นก่อนที่จะทราบผลการลงมติของที่ประชุมรัฐสภาอังกฤษต่อแผน Brexit

ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวควบคู่กับการหดตัวของข้อมูลการค้าจีนดูจะยิ่งจุดประกายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และมีแนวโน้มจะทำให้เฟดยุติการเดินหน้าคุมเข้มนโยบายการเงิ

·       นักกลยุทธ์ค่าเงินจาก Bank of Singapore กล่าวว่า  ดอลลาร์ดูจะโอนอ่อนไปตามคาดการณ์เกี่ยวกับการเดินหน้าของเฟด แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ได้ตอบรับกับปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ โดยในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้าก็ดูเหมือนดอลลาร์จะมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง และเฟดก็ดูจะไม่มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้

·       ค่าเงินยูโรขยับแข็งค่าขึ้น 0.1% ที่ 1.1485 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.3% ที่ 1.2901 ดอลลลาร์ปอนด์ ก่อนทราบผลการลงมติ Brexit ในคืนนี้

ทั้งนี้ นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษจะต้องชนะการโหวตในรัฐสภาช่วงค่ำวันนี้เท่านั้น เพื่อให้เธอได้ถูกอนุมัติข้อตกลง Brexit หรือเสี่ยงที่จะออกจากอียูโดยปราศจากข้อตกลงใดๆ ซึ่งดูเหมือนมีสมาชิกในรัฐสภาส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วยกับการลงมติให้เธอ โดยจำนวนเสียงที่นางเมย์ต้องได้รับในวันนี้ต้องอยู่ที่ 318 เสียง

·       นักวิเคราะห์จาก Commerzbank มองว่าค่าเงิน EUR/USD กำลังเคลื่อนไหวในลักษณะสะสมพลังระยะสั้น หลังไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านสำคัญที่ 1.1500 ดอลลาร์/ยูโรได้

Key Quotes

Commerzbank มองว่าค่าเงินมีแนวโน้มจะฟื้นตัวขึ้นไปได้ถึงระดับ $1.1623 ที่เป็นระดับสูงสุดของเดือน ต.ค. และระดับ $1.1616/23 ที่เป็นเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วัน และระดับสูงสุดในช่วงกลางเดือน ต.ค. สำหรับภาพรวมระยะยาว มองเป้าหมายของค่าเงินไว้ที่ $1.1786 ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ยราย 55 สัปดาห์ สำหรับแนวรับมองไว้ที่ระดับ $1.1385 ดอลลาร์/ยูโร ที่เป็นเส้นค่าเฉลี่ยราย 55 วัน จึงมองว่าน่าจะรองรับการอ่อนค่าของค่าเงินลงมาได้  ส่วนแนวรับถัดไปจะอยู่ที่ระดับ $1.1320 ที่เป็นแนวรับของเส้นเทรนขาขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากค่าเงินอ่อนค่าหลุดระดับ $1.1267 จะทำให้เกิดแรงเทขายเข้ามากดดันจนถึงระดับ $1.1216 ซึ่งเป็นระดับ 61.8% Fibonacci retracement

·       นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรี มีแนวโน้มที่จะประสบความล้มเหลวในการเรียกเสียงสนับสนุนระหว่างการลงมติข้อตกลง Brexit ภายในค่ำคืนนี้

ซึ่งนักวิเคราะห์จาก The Guardian ประเมินไว้ว่า มี ส.ส. มากกว่า 200 คน ที่พร้อมจะโหวต No ในคืนนี้ เว้นเสียแต่กรณีที่นางเมย์มีการยื่นเสนอข้อตกลง Brexit ที่คาดไม่ถึงเท่านั้น นอกจากนี้ หากในกรณีที่นางเมย์ประสบความพ่ายแพ้อย่างราบคาบ นายเจเรมี โคบลิน หัวหน้าฝ่ายค้านในรัฐสภา ก็จะออกมาเรียกร้องให้เกิดการลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีอย่างแน่นอน ซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างที่สุดภายในค่ำคืนนี้ หลังการลงมติ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพรรคอนุรักษ์นิยมของนางเมย์ มีแนวโน้มที่จะไม่สนับสนุนการลงมติไม่ไว้วางใจ พรรคฝ่ายค้านจึงอาจเรียกร้องให้มีการลงประชามติ Brexit ใหม่อีกครั้งแทน

ขณะที่บรรดาคณะรัฐมนตรีก็ยังคงไม่ทราบว่านางเมย์มีแนวคิดจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไปอย่างไรหากการลงมติคืนนี้ล้มเหลว อีกทั้งบรรดารัฐมนตรียังคงมีความแตกแยกกันเกี่ยวกับการดำเนินการในขั้นตอนต่อไปเช่นเดียวกัน  โดยส่วนหนึ่งคาดการณ์ว่านางเมย์อาจกลับไปเจรจากับอียูใหม่อีกครั้ง เพื่อหาข้อตกลงใหม่ที่เสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาจะสามารถยอมรับได้

·       สิ่งที่อาจเกิดขึ้นหลังการลงมติคืนนี้

กรณีที่รัฐสภาโหวตผ่านข้อตกลง Brexit

- มีความเป็นไปได้ต่ำมากที่จะเกิดกรณีนี้ แต่ร่างนโยบายจะถูกผลักดันให้เป็นกฏหมายบังคับใช้หลังจากอังกฤษถอนตัวออกจากอียูในวันที่ 29 มี.ค.

กรณีที่รัฐสภาปฏิเสธข้อตกลง Brexit

- สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจคือความผันผวน โดยนายกฯอังกฤษจะมีเวลาเพียง 3 วันหลังจากการลงมติ ที่จะนำเสนอแผนการดำเนินการในขั้นตอนต่อไปต่อรัฐสภา

สิ่งที่พรรคฝ่ายค้านจะตอบโต้

- ผู้นำพรรคฝ่ายค้านจะเรียกร้องให้เกิดการลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯอังกฤษ ภายในเวลาเพียงไม่กี่ช.ม. หลังการลงมติ โดยการลงมติไม่ไว้วางใจถูกคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในคืนวันพุธ

รัฐสภาจะยึดอำนาจคืนจากนายกฯ

- หากการลงมติประสบความล้มเหลว บรรดาคณะรัฐมนตรีจะเตรียมเข้าชิงอำนาจในการบริหารประเทศคืนจากนายกฯภายสัปดาห์หน้า ซึ่งรวมไปถึงอำนาจในการเปลี่ยนแปลงนโยบาย Brexit

การลงประชามติ Brexit รอบที่ 2

- มีแนวโน้มที่รัฐสภาจะผลักดันให้เกิดการลงประชามติ Brexit เป็นครั้งที่ 2 เพื่อตัดสินว่าประชาชนต้องการให้อังกฤษคงอยู่หรือถอนตัวออกจากอียูมากกว่ากัน

·       นักกลยุทธ์ค่าเงินจาก DBS กล่าวว่า ความน่าสนใจตอนนี้ คือเหล่านักลงทุนกำลังคาดเดาถึงผลลัพธ์ที่อาจนำไปสู่การที่อังกฤษถูกเลื่อนวันออกจากอียูจากกำหนดเดิม 29 มี.ค. - ก.ค. (หลังจากเสร็จสิ้นการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาของอียูในเดือนพ.ค.) เพื่ออนุมัติให้เกิดการเลือกตั้งครั้งใหม่สำหรับอังกฤษ หรือการลงประชามติใหม่ในครั้งที่ 2

แต่นักวิเคราะห์คนอื่น กลับคาดการณ์ว่า ค่าเงินปอนด์อาจกลับมาแข็งค่าได้หากเมย์สูญเสียคะแนนเสียงข้างมากไป

·       สหรัฐฯและเกาหลีเหนือมีแผนจะจัดการประชุมระหว่างบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงร่วมกัน อย่างเร็วที่สุดภายในสัปดาห์นี้ เพื่อเจรจาเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือที่ส่งสัญญาณยืดเยื้อ รวมถึงกำหนดวันเวลาและสถานที่ สำหรับจัดการประชุมระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯและผู้นำเกาหลีเหนือเป็นครั้งที่ 2

การเจรจาระดับสูงที่อาจเกิดขึ้นสัปดาห์นี้ นำโดยนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหรัฐฯ และนายคิม ยอง ชอล ที่ปรึกษาคนสนิทของผู้นำเกาหลีเหนือ

·       กระทรวงการคลังจีน รายงานว่า ภายในปี 2019 รัฐบาลมีแผนจะเพิ่มการรายจ่ายการคลังมากขึ้น รวมถึงจะออกนโยบายปรับลดมูลค่าภาษีมากกว่าเดิม ขณะที่จะปรับลดรายจ่ายทั่วไปของรัฐบาลลงกว่า 5%

ในส่วนของธนาคารกลางจีน ได้มีรายงานว่า ทางธนาคารกลางจะมีการดำเนินนโยบายการเงินที่รอบคอบมากขึ้น ไม่คุมเข้มหรือผ่อนคลายเกินไป รวมถึงปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินที่สวนทางกับวัฏจักีเศรษฐกิจให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น

·       ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้น 1% ท่ามกลางการปรับลดภาวะอุปทานน้ำมันดิบของผู้ผลิตรายใหญ่เพื่อจำกัดภาวะอุปทานล้นตลาดจากทางโอเปกและรัสเซีย แม้ว่าทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ไม่สดใสจะเป็นตัวจำกัดการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบอยู่

สัญญาน้ำมันดิบ Brent ขยับขึ้น 65 เซนต์ คิดเป็น +1.1% ที่ระดับ 59.64 เหรียญ ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 58 เซนต์ คิดเป็น +1.2% ที่ระดับ 51.09 เหรียญ

นักวิเคราะห์จาก U.S. bank J.P. Morgan กล่าวว่า ผลจากการปรับลดน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกและสมาชิกนอกโอเปกอย่างรัสเซีย รวมทั้งการที่อิหร่านถูกคว่ำบาตร และการผลิตน้ำมันดิบรายเดือนของสหรัฐฯที่ลดน้อยลงก็ดูจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาน้ำมันดิบให้ปรับขึ้นได้จากระดับปัจจุบั

·       รายงานตลาดน้ำมันของ HSBC ระบุว่า ยอดส่งออกน้ำมันของอิหร่านร่วงลงอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มจะอยู่แถว 1.3 ล้านบาร์เรล/วัน ในปีนี้ ซึ่งน้อยลงจากค่าเฉลี่ยของไตรมาสที่ 1 ปีที่แล้ว

นอกจากนี้ในรายงงานของ HSBC ยังระบุถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มจะยังไม่แน่นอนต่อไป พร้อมทั้งหั่นคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ Brent ลง 16 เหรียญ/บาร์เรล สู่ระดับ 64 เหรียญ/บาร์เรล และระบุถึงการเพิ่มขึ้นของการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯจะเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างไม่แน่นอนตามภาวะอุปสงค์

·       CRUDE OIL  TECHNICAL ANALYSIS

ราคาน้ำมัน WTI ปรับย่อตัวลงมาจากแนวต้านที่ 53.39 เหรียญ/บาร์เรล และอาจลงไปทดสอบแนวรับที่บริเวณ 49.51 – 50.15 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งหากราค้ำนัมปิดตลาดวันนี้ต่ำกว่าแนวรับดังกล่าว ก็มีแนวโน้มจะลงต่อไปถึงบริเวณ 42.05 - 55 เหรียญ/บาร์เรล ในทางกลับกัน หากราคาน้ำมันปรับขึ้นเหนือแนวต้าน 54.51 – 55.24 เหรียญ ก็มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นต่อไปได้ถึงลริเวณ 59.05 เหรียญ/บาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com