โดยนักวิเคราะห์กล่าวว่า ราคาทองคำในปี 2019 อาจมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าในปี 2018 พร้อมมองกรอบการเคลื่อนไหวของทองคำปีนี้ไว้ระหว่าง 1,200 – 1,400 เหรียญ ซึ่งราคามีแนวโน้มจะขึ้นทดสอบระดับสูงสุดของปี 2018 ได้ หากราคาสามารถทะลุเหนือแนวต้านสำคัญทางจิตวิทยาที่ 1,300 เหรียญ
ขณะที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจก็ค่อนข้างเป็นปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำ โดยเฉพาะสัญญาณการชะลอขึ้นดอกเบี้ยของเฟด การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
โดยถ้อยแถลงล่าสุดของนายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด เป็นการส่งสัญญาณว่า เฟดจะไม่เป็นอุปสรรคต่อราคาทองคำในปีนี้ หลังจากในปีที่แล้ว เฟดถือปัจจัยหลักที่กดดันทองคำ ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 4 ครั้ง
ตลาดพันธบัตรของสหรัฐฯยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนทองคำ ซึ่งจะเห็นได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ที่ปรับร่วงลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ที่เฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ยเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ถึงแม้อัตราผลตอบแทนจะมีการดีดกลับขึ้นมาบริเวณ 2.73% ในช่วงสัปดาห์นี้ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เป็นปัจจัยกดดันทองคำเท่าไหร่นัก
นอกจากนี้ ปริมาณความต้องการทองคำของกองทุน ETF ซึ่งมีปริมาณมากขึ้นประมาณ 3% นับตั้งแต่ในช่วงปลายปี 2018 และยังเป็นครั้งแรกนั้บตั้งแต่ปี 2012 ที่ภาพรวมการถือครองทองคำของกองทุน ETF มีมูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านเหรียญ
ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินว่า ตลาดหุ้นน่าจะยังไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นได้มากนัก เนื่องจากผลประกอบการของภาคบริษัทที่น่าจะประกาศออกมาค่อนข้างอ่อนแอในช่วงสัปดาห์นี้ จึงจะเป็นอีกปัจจัยที่หนุนทองคำ
ทั้งนี้ การขยับขึ้นของราคาทองคำ จะน่าจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในช่วงเดือน ก.พ. เนื่องจากความกังวลเกีย่วกับ Brexit เริ่มเข้ากดดันตลาด
โดยการลงมติข้อตกลง Brexit เมื่อคืนที่ผ่านมา ผลออกมาเป็นความพ่ายแพ้ของนายกรัฐมนตรีเทเรซ่า เมย์ ด้วยคะแนนเสียง 432 ต่อ 202 ซึ่งเป็นความพ่ายแพ้ที่ย่อยยับที่สุดครั้งประวัติศาสตร์
สถานการณ์ทางการเมืองอังกฤษจึงยิ่งมีท่าทีที่จะเลวร้ายลง เนื่องจากกำหนดการถอนตัวออกจากอียูในวันที่ 31 มี.ค. กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะ
ทั้งนี้ ราคาทองคำเมื่อคืนค่อนข้างทรงตัวหลังทราบผลการลงมติ โดยราคาสัญญาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. ปิดตลาดลดลงเล็กน้อยประมาณ 0.18% ที่ระดับ 1,289.00 เหรียญ