• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 18 มกราคม 2562

    18 มกราคม 2562 | Economic News
\
·         ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินเยน ท่ามกลางความหวังต่อความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่หนุนให้ปริมาณความต้องสินทรัพย์เสี่ยงแข็งแกร่งขึ้นในวันนี้

ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Sony Financial Holdings คาดการณ์ว่าความคืบหน้าเกี่ยวกับ Trade war จะดำเนินไปในทางบวก ตราบใดที่สหรัฐฯและจีนยังคงรักษาการติดต่อและมีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่บริเวณ 109.35 เยน/ดอลลาร์ โดยเป็นการแข็งค่าติดต่อกัน 4 วันทำการ และเคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 109.40 เยน/ดอลลาร์

ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ค่อนข้างทรงตัวที่บริเวณ 96.056 จุด หลังขึ้นไปทำระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 96.264 จุดเมื่อคืนนี้

นายหลิว อี้ รองนายกรัฐมนตรีจีน จะเดินทางเยือนสหรัฐฯระหว่างวันที่ 30 และ 31 ม.ค. นี้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเจรจาการค้าร่วมกับสหรัฐฯอีกรอบ

ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินยูโร ขณะที่ค่าเงินปอนด์ทรงตัว หลังแข็งค่าขึ้นมาเมื่อคืนนี้ จากความหวังเกี่ยวกับโอกาสเกิดการลงประชามติ Brexit เป็นรอบที่ 2 หลังจากที่นายกรัฐมนตรีเทเรซ่า เมย์ ประสบความล้มเหลวในการเรียกสนับสนุนในการลงมติข้อตกลง Brexit ในช่วงต้นสัปดาห์นี้

ภายในสัปดาห์หน้า ตลาดจะจับตาไปยังการประกาศตัวเลขกิจกรรมภาคธุรกิจในยูโรโซน รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจของฝรั่งเศส เพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มการชะลอตัวของภาพรวมเศรษฐกิจยูโรโซน

โดยค่าเงินยูโรวันนี้ค่อนข้างทรงตัว หรือปรับขึ้นไม่เกิน 0.1% ที่บริเวณ 1.1397 ดอลลาร์/ยูโร

·         นักวิเคราะห์จาก Daily FX ประเมินว่า ค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์เมื่อวานนี้ ไม่สามารถปรับขึ้นเหนือแนวต้านบริเวณ $1.1456 – 81 ซึ่งเส้นเทรนขาลงที่ดำเนินมาตั้งแต่เดือน ต.ค. ได้ จึงมีการปรับย่อตัวกลับลงมา

สำหรับการลงทุนวันนี้ ตลาดจะจับตาไปที่ระดับ $1.1328 หากหลุดลงมา ค่าเงินก็อาจเผชิญแรงเทขาย และกลับสู่ทิศทางขาลงในระยะยาวอีกครั้ง โดยมีแนวรับถัดไปที่ระดับ$1.1216 ตามมาด้วย $1.1110-32

·         นักวิเคราะห์จาก ANZ ระบุว่า ความวุ่นวายในตลาดการเงินและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะบังคับให้สหรัฐฯและจีนสามารถไปสู่ข้อตกลงการค้าได้

สัญญาณจากการเจรจาการค้าที่ผ่านมาในประเทศจีนมีแนวโน้มที่ดีและได้เพิ่มมุมมองในแง่ดีของตลาดแม้ว่าจะไม่มีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมก็ตาม

อย่างไรก็ดี ตลาดอาจเผชิญแรงกดดันครั้งใหม่ หากสหรัฐฯและจีนไม่สามารถเจรจาทางการค้าร่วมกันได้

·         นายคิม ยอง ชอล หัวหน้าทีมเจรจาจากเกาหลีเหนือ ได้เดินทางมาถึงกรุงวอชิงตันของสหรัฐฯ และถูกคาดการณ์ว่าจะร่วมเจรจากับนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งสหรัฐฯ ภายในคืนนี้ รวมถึงมีโอกาสที่จะได้พบกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยตรง เพื่อเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ รวมถึงการจัดวันและสถานที่สำหรับการประชุมร่วมกันระหว่างนายทรัมป์และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เป็นรอบที่ 2

การเดินทางเยือนสหรัฐฯครั้งนี้ ต่างฝ่ายต่างคาดหวังว่าจะมีสัญญาณความคืบหน้าเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ หลังจากการดำเนินดังกล่าวไร้ความคืบหน้ามาติดต่อเป็นระยะเวลานาน รวมถึงคาดหวังว่าจะมีประกาศเกี่ยวกับการพบกับระหว่างผู้นำทั้ง 2 ประเทศเป็นรอบที่ 2

·         นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าบีโอเจ กล่าวรายงานต่อคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจในรัฐสภาญี่ปุ่น โดยแสดงความคาดหวังว่า สหรัฐฯและจีนจะสามารถยุติข้อพิพาททางการค้าร่วมกันได้ภายในปีนี้

·         ผู้นำด้านการเงินจากเยอรมนีและจีน ร่วมลงนามในข้อตกลงที่จะขยายความร่วมมือทางการเงินระหว่างทั้ง 2 ประเทศมากขึ้น รวมถึงจะเปิดกว้างเศรษฐกิจเพื่อต้อนรับการลงทุนจากแต่ละฝ่ายมากขึ้น

ทั้งนี้ แม้การค้าขายระหว่างทั้ง 2 ประเทศจะค่อนข้างซบเซาลงในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลในข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน แต่ทั้ง 2 ฝ่ายก็ได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจโลกควรดำเนินไปด้วยความร่วมมือกันระหว่างทุกๆประเทศ

ความร่วมมือทางการเงิน

ทั้งสองฝ่ายต่างรับรู้ถึงศักยภาพทางการเงินของแต่ละฝ่ายเป็นอย่างดี จึงจับมือกันเพื่อจะขยายสถาบันการเงินออกสู่ประเทศที่ 3 มากขึ้น

โดยจีนจะเปิดรับบริษัทประกันสัญชาติเยอรมนีให้สามารถดำเนินธุรกิจภายในแผ่นดินจีนได้ ขณะที่บริษัทประกันจีนเองก็สามารถดำเนินธุรกิจในเยอรมนีมากขึ้นเช่นกัน

นอกจากนี้ จีนจะเปิดรับธนาคารเยอรมนีที่ต้องการเป็นโบรกเกอร์ทางการภายใต้ธนาคารกลางแห่งประเทศจีน รวมถึงทั้ง 2 ประเทศจะร่วมมือนำแผน Belt and Road initiativeของจีน มาผนวกเข้ากับแผนเชื่อมต่อเศรษฐกิจธุรกิจยุโรป-เอเชีย ผ่านทางลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

·         นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดเผยแผนป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯในวันนี้ โดยในแผนดังกล่าวได้ระบุให้เกาหลีเหนือเป็น ภัยคุกคามพิเศษ” หลังจากเมื่อ 7 เดือนก่อนหน้านี้ นายทรัมป์เคยกล่าวภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือได้หมดสิ้นไปแล้ว

แผนป้องกันดังกล่าว ได้อ้างถึงความเสี่ยงในการถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธจากอิหร่าน รัสเซีย และจีน พร้อมเรียกร้องให้พัฒนาระบบตรวจสอบขีปนาวุธจากอวกาศ เพื่อให้สหรัฐฯสามารถตรวจสอบขีปนาวุธที่เป็นภัยคุกคามและปกป้องสหรัฐฯได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ แม้นายทรัมป์จะไม่ได้กล่าวถึงเกาหลีเหนือด้วยตัวเอง แต่นายแพทริก ชานาฮาน ผู้รักษาการแทนตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ได้ระบุว่า ขีปนาวุธจากเกาหลีเหนือ เป็นภัยคุกคามที่ น่าเป็นห่วงที่สุด” และถึงแม้จะมีสัญญาณว่าสหรัฐฯอาจสามารถสร้างสันติภาพกับเกาหลีเหนือได้ แต่สหรัฐฯก็จะจับตาภัยคุกคามดังกล่าวอย่างใกล้ชิดต่อไป 

·         ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของญี่ปุ่นในเดือน ธ.ค. ชะลอตัวลงดด้วยอัตราที่ต่ำที่สุดในรอบ 7 เดือน ท่ามกลางการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่อ่อนแอ กดดันไม่ให้ผู้ประกอบการให้ประเทศสามารถปรับขึ้นราคาได้ จึงเป็นสัญญาณว่าอัตราเงินเฟ้อในประเทศจะยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับเป้าหมายของบีโอเจที่ 2% ต่อไป

ข้อมูลดังกล่าวถูกรายงานก่อนหน้าการประชุมของบีโอเจที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า ซึ่งเป็นที่คาดการณ์ว่าจะมีมติปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเงินเฟ้อ พร้อมกล่าวเตือนถึงความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก

โดยดัชนี Core CPI ในเดือน ธ.ค. ที่รวมสินค้าเกี่ยวกับน้ำมันแต่ไม่รวมอาหาร ขยายตัวได้ 0.7% จากปีก่อน ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวได้ 0.9% และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดกาณณ์เอาไว้ที่ 0.8%

นักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัย Dai-ichi Life คาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานในญี่ปุ่นอาจหยุดการขยายตัวภายในเดือน เม.ย.  เนื่องจากผลกระทบจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับภาวะที่พื้นฐานของอัตราเงินเฟ้อในประเทศค่อนข้างอ่อนแออยู่แล้ว

·         รัฐบาลสหรัฐฯมีแนวโน้มจะประกาศขยายระยะเวลาละเว้นให้บางประเทศสามารถนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านต่อได้ แต่อาจปรับลดจำนวนของประเทศที่จะได้รับการละเว้นลง เพื่อหักลบกับปริมาณนำเข้าของผู้นำรายใหญ่ 2 อันดับแรก คือจีนและอินเดีย และเพื่อป้องกันไม่ให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นมากเกินไป

โดยในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา สหรัฐฯได้สร้างความประหลากใจให้กับตลาดหลังนโยบายคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันอิหร่านมีผลบังคับใช้ ด้วยการประกาศละเว้นให้ 8 ประเทศสามารถนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านได้ การคว่ำบาตรดังกล่าวได้ส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับร่วงลงถึง 22% รวมถึงกระตุ้นให้กลุ่มโอเปกมีมติปรับลดกำลังการผลิตในเดือน ธ.ค.

การลดจำนวนของประเทศที่สามารถนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านลง จะจำกัดปริมาณการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน ซึ่งเป็นผู้ส่งน้ำมันรายใหญ่อันดับที่ 4 ของโลก แต่สหรัฐฯยังคงห่างไกลจากเป้าหมายที่จะลดการส่งออกน้ำมันจากอิหร่านลงสู่ระดับ 0

ทั้งนี้ จีนอินเดียญี่ปุ่นเกาหลีใต้และตุรกี มีแนวโน้มที่จะได้รับการละเว้นให้สามารถนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านต่อไปได้ หลังจากสิทธิ์ในการนำเข้าน้ำมันของประเทศเหล่านี้จะหมดลงในเดือน พ.ค. ขณะที่ประเทศที่จะถูดกีดกันไม่ให้นำเข้าน้ำมันจากอิหร่าน มีแนวโน้มที่จะเป็น อิตาลี กรีซ และไต้หวัน

นักวิเคราะห์จาก Eurasia Group ระบุว่า การปรับลดครั้งนี้ จะสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อแผนงบประมาณของอิหร่าน หลังจากที่รัฐบาลของนายฮัสซัน โรฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน ได้วางแผนงบประมาณปีนี้บนพื้นฐานของรายได้จากการส่งออกน้ำมันที่สูงเกิดแนวโน้มความเป็นจริง

·         ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น 1% ในวันนี้ หลังรายงานจากกลุ่มโอเปกระบุว่าปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มได้ปรับลดลงในเดือนที่ผ่านมา ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานล้นตลาดเริ่มผ่อนคลายลงไป

โดยราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 62 เซนต์ หรือ 1.01% ที่บริเวณ 61.80 เหรียญ/บาร์เรล สำหรับภาพรวมรายสัปดาห์ ราคาปรับสูงขึ้นได้ 2% ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3

ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 58 เซนต์ หรือ 1.11% ที่บริเวณ 52.65 เหรียญ/บาร์เรล 


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com