· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับขึ้นท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ตอบรับกับข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเห็นความคืบหน้าเพิ่มขึ้นในการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับขึ้น 336.25 จุด ที่ระดับ 24,706.35 จุด ขณะที่ดัชนีS&P500 ปิด +1.3% ที่ระดับ 2,670.71 จุด และเป็นการปิดก้าวออกจากภาวะของการปรับฐาน และดัชนี Nasdaq ปิด +1% ที่ระดับ 7,157.23 จุด
ทั้งนี้ ดัชนีหลักในตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดแดนบวกได้หลังจากที่แหล่งข่าวมีการเปิดเผยกับสำนักข่าว CNBC โดยระบุว่า จีนเสนอจะเพิ่มยอดนำเข้าสหรัฐฯสูงขึ้นในรอบกว่า 6 ปี ท่ามกลางการเจรจาทางการค้า ขณะที่รายงานข่าวจาก Bloomberg เผยว่า ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯและจีนจะมุ่งเป้าหมายไปยังการลดยอดขาดดุลสหรัฐฯให้แตระดับศูนย์ภายในปี 2024
· ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับขึ้นจากข่าวความคืบหน้าทางการค้าดังกล่าวด้วยเช่นกัน โดยดัชนี Stoxx 600 ปิด +1.7% หลังไปทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 5 ธ.ค. โดยหุ้นหลักทุกภาคส่วนมีการเคลื่อนไหวในแดนบวก ขณะทีหุ้นกลุ่ม Blue Chip ของยุโรปในสัปดาห์ที่แล้วขยับขึ้นได้กว่า 2.2%
· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับขึ้นในเช้าวันนี้ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่รอคอยการเปิดเผยรายงานสำคัญของเศรษฐกิจจีนในช่วง 9.00น. ตามเวลาประเทศไทย เพื่อจับทิศทางเศรษฐกิจจีนอย่างใกล้ชิด โดยดัชนีนิกเกอิเปิด +0.76% ท่ามกลางดัชนี Topix ที่เปิด +0.81% ทางด้านดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เปิด +0.2% และดัชนี ASX200 เปิด +0.3%
· เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา Apple ได้สร้างความกังวลให้กับตลาด หลังจากที่พวกเขาได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบรายไตรมาสเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี โดยให้เหตุผลว่าประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน เป็นปัจจัยกดดันให้ยอดขาย iPhoneย่ำแย่ลง ท่ามกลางเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอ
โดยนักวิเคราะห์จาก Synovus Trust Company ระบุว่า สำหรับในช่วงสัปดาห์นี้ บริษัทรายใหญ่อย่าง Intel, Texas Instruments รวมถึง Ford Motor จะมีการรายงานผลประกอบการรายไตรมาส ซึ่งอาจทำให้สัญญาณเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่เป็นผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้ามีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เนื่องจาก Texas Instruments เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ ส่วน Intel เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเครือข่าย พวกเขาจึงไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของ Apple ที่เป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแต่อย่างใด
ทั้งนี้ Texas Instruments รวมถึงผู้ผลิตชิพรายใหญ่อย่างเช่น Xilinx จะมีการรายงานผลประกอบการในคืนวันพุธนี้ ส่วน Intel ในคืนวันพฤหัสบดี ซึ่งบริษัทเหล่านี้จดทะเบียนอยู่ในดัชนี S&P500 และต่างพึ่งพายอดขายจากประเทศจีนเป็นกำลังสำคัญ ดังนั้น นอกจากรายงานผลประกอบแล้ว บรรดานักลงทุนจะจับตาว่าบริษัทเหล่านี้จะมีความคิดเห็นอย่างไรกับกรณีข้อพิพาททางการค้าที่ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในสินค้าของพวกเขา
· ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์เงินบาทสัปดาห์นี้ ระหว่าง 31.50-31.90 บาท/ดอลลาร์ โดยจุดสนใจของตลาดในประเทศ น่าจะอยู่ที่ตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนธ.ค. ขณะที่ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญในระหว่างสัปดาห์ ประกอบด้วย ดัชนี PMIสำหรับเดือนม.ค. (เบื้องต้น) ยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ส่วนปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางญี่ปุ่น สถานการณ์ BREXIT ของอังกฤษ ภาวะชัตดาวน์ของสหรัฐฯ ข้อมูลจีดีพีไตรมาส 4/61 ของจีน และดัชนี PMI เดือนม.ค. (เบื้องต้น) ของประเทศชั้นนำของโลก