· ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวบริเวณ 96.33 จุด ซึ่งใกล้ระดับแข็งค่ามากที่สุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ โดยตลาดเริ่มลดกระแสความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวควบคู่กับข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่ออกมาอ่อนแอในปี 2018
ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าได้เป็นสัปดาห์แรกนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนธ.ค. เพราะได้รับแรงหนุนหลักมาจากความคาดหวังที่ว่าความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะบรรเทาลงไป ประกอบกับข้อมูลผลผลิตภาคอุตสาหกรรมสหรัฐฯออกมาดีขึ้นเกินคาด
ค่าเงินยูโรขยับขึ้น 0.09% ที่ระดับ 1.1371 ดอลลาร์/ยูโร และภาพรวมรายวันขยับขึ้นได้เป็นครั้งแรกของสัปดาห์หลังจากที่ปิดทำระดับต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์ในคืนวันศุกร์ที่ 1.1353 ดอลลาร์/ยูโร
· รายงานจาก IMF เมื่อวานนี้ มีการปรับทบทวนแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก พร้อมกล่าวเตือนว่าเศรษฐกิจโลกกำลังสูญเสียภาวะการขยายตัวที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้
ทั้งนี้ IMF ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกปีนี้ลง 0.2% สู่ระดับ 3.5% ขณะที่ปีหน้าหั่นเป้า 0.1% สู่ระดับ 3.6% ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 2 ที่ IMF มีการปรับทบทวนแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในรอบ 3 เดือน
นางคริสติน ลาร์การ์ด ผู้อำนวยการ IMF ยอมรับว่า หลังจากที่เศรษฐกิจโลกมีการขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงเวลากว่า 2 ปีมานี้ ก็จะเห็นได้ว่าการขยายตัวดังกล่าวมีการชะลอตัวลงมากกว่าที่คาด ขณะที่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าทิศทางเศรษฐกิจก็จะยังดำเนินได้ต่อไป เพียงแต่เผชิญกับความเสี่ยงต่างๆที่เพิ่มสูงขึ้น
ในขณะเดียวกับสำหรับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่นั้น ไอเอ็มเอฟส คาดว่าปีนี้จะขยายตัวได้ 4.5% จากเดิมในปีที่แล้วที่ขยายตัวได้ 4.6% และคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวต่ออีกครั้งในปี 2020 ที่ระดับ 4.9%
อย่างไรก็ดี ปัจจัยในการหั่นแนวโน้มเศรษฐกิจโลกของ IMF มาจากปัจจัยความตึงเครียดทางการค้าที่ดูจะบั่นทอนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจมากขึ้น ประกอบกับความเป็นไปได้ที่อังกฤษจะออกจากอียูแบบ No-Deal ขณะที่เศรษฐกิจจีนมีสัญญาณชะลอตัว
· ประธาน World Economic Forum (WEF) เผยถึงหนึ่งในความกังวลครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจโลก โดยระบุว่าผลกระทบจากวุ่นวายทางการเมืองกำลังบั่นทอนการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งถึงแม้จะมีหลายปัจจัยให้ต้องเป็นกังวล แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความขัดแย้งทางการเมืองเป็นสิ่งสำคัญ และหากไม่สามารถจัดการได้อย่างถูกวิธีก็จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลก อันจะส่งผลต่อประชาชนจำนวนมากบนโลกนี้ รวมทั้งภาวการณ์จ้างงาน อาทิ ในยุโรปที่อาจเผชิญกับคนว่างงานที่เพิ่มมากขึ้น 20%
· การรายงานแผนการดำเนินนโยบาย Brexit ฉบับปรับปรุง หรือ “Plan B” ต่อรัฐสภา โดยนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เมื่อคืนนี้ ยังคงมีท่าทีว่าจะไม่สามารถเรียกเสียงสนับสนุนได้เพียงพอเช่นเดิม
โดยประเด็นหลักที่หลายๆฝ่ายยังคงกังวล คือปัญหาด้านพรมแดนระหว่างไอร์แลนด์เหนือกับอังกฤษและสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ที่ทางรัฐสภากังวลว่าหากไม่สามารถตกลงกันได้ การกำหนดพรมแดนแบบเข้มงวด หรือ Hard border อาจกลับมา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อด้านการค้าและความมั่นคง โดยฝ่ายสนับสนุน Brexit มองว่าอียูอาจใช้ Hard border เป็นการกดดันให้อังกฤษพิจารณาไม่ถอนตัวออกจากอียู และทางพรรค DUP ที่พรรคตัวแทนประชาชนไอร์แลนด์เหนือในรัฐสภาอังกฤษกำลังกังวลว่าไอร์แลนด์เหนืออาจได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างออกไปจากสมาชิกอื่นๆในสหราชอาณาจักร หากเกิดกรณี Hard border
ทั้งนี้ นางเมย์ระบุว่าจะเจรจากับนายเจเรมี โคบลิน หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน อีกครั้งภายในสัปดาห์หน้า โดยหวังว่านายโคบลินจะยินยอมที่จะเจรจากับเธออีกครั้ง
· รายงานจาก Reuters ระบุว่า นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษยังคงพยายามหาหนทางผลักดันให้นโยบาย Brexit สามารถเดินหน้าต่อไปได้ เมื่อวานนี้ โดยยืนยันว่าจะหาข้อตกลงร่วมกับทางอียูใหม่อีกครั้ง รวมถึงยับยั้งไม่ให้เกิดกรณี Hard border กับไอร์แลนด์เหนือ
สำหรับกรณีที่อังกฤษจะพิจารณา No-deal Brexit นางเมย์กล่าวต่อรัฐสภาว่า ยังมีความเป็นไปได้ เนื่องจากยังคงไร้แผน สำรองที่เป็นที่ตกลงร่วมกันอย่างชัดเจน
ส่วนการจัดการลงประชามติใหม่อีกครั้ง นางเมย์มองว่า อาจส่งผลให้มือที่สามสามารถเข้ามาทำลายความสัมพันธ์ภายในสหราชอาณาจักรได้ง่ายยิ่งขึ้น รวมทั้งทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อระบอบการปกครอง
· อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศฟินแลนด์ กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC โดยระบุว่า การที่อังกฤษถอนตัวจากอียูหากข้อตกลงในปัจจุบันยังคงไม่ได้รับการอนุมัติก็อาจก่อให้เกิดการลงประชมติครั้งที่ 2 ได้
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวขึ้นหลังจากที่ปรับตัวลงในช่วงต้นตลาด ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ดูจะมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นว่าจะเห็นราคาน้ำมันเชิงบวกขณะที่ตลาดหุ้นมีการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในเดือนนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วน มองว่า ปัจจัยที่จะเกื้อหนุนราคาน้ำมันคือการที่กลุ่มประเทศผลิตน้ำมันรายใหญ่จะมีการชะลอกำลังการผลิตน้ำมัน
ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 12 เซนต์ ที่ระดับ 62.83 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 19 เซนต์ ที่ระดับ 53.99 เหรียญ/บาร์เรล