หุ้น UBS ลดลง 4.4% หลังจากผลประกอบการที่ผ่านมาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
ด้านหุ้น easyJet ของสายการบิน U.K. ก็ร่วงลง 0.8% หลังจากการอัพเดทการซื้อขายได้เน้นย้ำว่าการดำเนินงานได้รับผลกระทบจากการหยุดชะงักของโดรนใน Gatwick เมื่อปีที่ผ่านมา
· ตลาดหุ้นเอเชียและราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง เนื่องจากมุมมองการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ส่งผลหเหล่านักลงทุนออกจากสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่ค่าเงินปอนด์ปรับอ่อนค่าลงหลังเผชิญหน้ากับการเคลื่อนไหวอีกครั้งของภาวะ Brexit
ขณะที่เมื่อวานนี้ตลาดสหรัฐฯปิดทำการนื่องในวัน Martin Luther King Jr. Day ดังนั้นการซื้อขายจึงลดลง อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นยุโรปและหุ้นละตินอเมริกาก็ยังคงซบเซาหลังจากข้อมูลจีนที่ออกมาอ่อนแอ
ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 0.9%
· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดลบ โดยดัชนี Nikkei ปิด -0.5% บริเวณ 20,622.91 จุด ลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือน ท่ามกลางแรงเทขายทำกำไรของนักลงทุนหลังหุ้นปรับขึ้นไปได้เมื่อวานนี้ โดยตลาดยังคงเผชิญแรงกดดันจากสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอยู่
ทั้งนี้ หุ้น Panasonic Corp ปรับร่วงลงกว่า 2.7% หลังรายงานข่าวระบุว่า Tesla Inc ของสหรัฐฯ มีข้อตกลงร่วมกับ Tianjin Lishen ให้เป็นซัพพลายเออร์แบตเตอรี่ในประเทศจีน เพื่อลดความพึ่งพาในแบตเตอรี่ของ Panasonic
· ตลาดหุ้นจีนปิดลบ ท่ามกลางบรรดานักลงทุนที่เตรียมรับมือกับทิศทางของเศรษฐกิจทั้งในประเทศและทั่วโลก ที่ไม่น่าจะสดใสสำหรับปี 2019 โดยดัชนี Shanghai Composite ปิด -1.2% ที่ระดับ 2,579.70 จุด
ขณะที่นักวิเคราะห์จาก OCBC ระบุว่า สัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนอาจผลักดันให้รัฐบาลจีนมีการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิกมากขึ้น แต่นโยบายเหล่านี้อาจช่วยประครองเศรษฐกิจได้เป็นการชั่วคราวเท่านั้น แต่จะไม่สามารถหยุดทิศทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจได้
· ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า บลจ.ไทยพาณิชย์ มองภาพรวมตลาดหุ้นไทยในไตรมาสที่ 1/62 ยังคงมีความผันผวนต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยปัจจัยที่ยังส่งผลกระทบต่อการลงทุนส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศเป็นหลัก ได้แก่ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งต้องใช้เวลา 90 วันถึงจะรู้ผลในช่วงต้นเดือนมีนาคม ทำให้ในระหว่างนี้เศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัวต่อเนื่องและมีโอกาสการปรับลดประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจได้อีก สำหรับสภาพคล่องในเศรษฐกิจโลกมีการปรับตัวลดลงอีกจากการหยุดทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของยุโรป
· สำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีนี้ จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับการลงทุนของเอกชนทั้งนักลงทุนภายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้การลงทุนทางตรงที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกจากนี้การที่เฟด ออกมามีความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และมีโอกาสที่ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อการขึ้นดอกเบี้ยทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงและทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะทำให้มีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศกลับมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) และตลาดหุ้นไทยมากขึ้น