• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 23 มกราคม 2562

    23 มกราคม 2562 | Economic News
\
·         ค่าเงินเยนปรับอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในช่วงบ่ายวันนี้ หลังปริมาณความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาบางส่วน แต่ความกังวลจากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และข้อพิพาทการค้าระหว่งาสหรัฐฯ-จีน น่าจะกดดันไม่ให้สินทรัพย์เสี่ยงสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้มากนั

โดยค่าเงินเยนอ่อนค่า 0.25% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ที่บริเวณ 109.62 เยน/ดอลลาร์ และอ่อนค่าลง 0.5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ออสเตรเรีย

ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเรียแข็งค่า 0.2% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯที่บริเวณ $0.7137

·         นักวิเคราะห์จาก CMC Markets ระบุว่า ตลาดในช่วงนี้จะเคลื่อนไหวตามประเด็นเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนเป็นหลัก ขณะที่ประเมินว่า ตลาดหุ้นจะปรับฐานจบในเร็วๆนี้ เนื่องจากหุ้นมีการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งในช่วงปลายเดือน ธ.ค.

ขณะที่ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยบริเวณ 96.32 จุด โดยตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลอดปี 2019 ท่ามกลางปัจจัยกดดันเศรษฐกิจสหรัฐฯทั้งจากในและนอกประเทศ

ส่วนค่าเงินยูโรค่อนข้างทรงตัวที่บริเวณ 1.1367 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยบริเวณ 1.2961 ดอลลาร์/ยูโร หลังแข็งค่าขึ้นมาได้ 0.5% ในช่วงตลาดก่อน    
·         ค่าเงินเยนทรงตัวในระดับแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์เมื่อคืนนี้ ท่ามกลางความกังวลของตลาดที่มีต่อภาวะการชะลอตัวขอเงศรษฐกิจโลกและประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่กดดันปริมาณความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง 

ขณะที่ปริมาณอุปสงค์ทั่วโลกที่อ่อนแอลง เป็นอีกปัจจัยที่อาจกดดันให้บีโอเจพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับผ่อนคลายแบบพิเศษหลังผลการประชุมวันนี้

ขณะที่ค่าเงินเยนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสินทรัพย์ Safe-haven ท่ามกลางภาวะที่ตลาดเผชิญกับความผันผวนหรือเศรษฐกิจชะลอตัว ได้ปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์เมื่อคืนนี้ ประมาณ 0.5% บริเวณ 109.4 เยน/ดอลลาร์ 

นักวิเคราะห์จาก CMC Markets ระบุว่า ปัจจัยหลักๆที่หนุนค่าเงินในตลาดช่วงนี้ คือความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความตึงเครียดทางการค้า โดยค่าเงินเยนมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งติดต่อกันมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ธ.ค.ดังนั้นค่าเงินเยนอาจมีการปรับฐานลงบ้างในเร็วๆนี้

·         นักลงทุนควรจับตาค่าเงินเยนอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เริ่มปีนี้ เพราะความกังวลเกี่ยวกับภาวะทางการค้าเศรษฐกิจโลกขาลง, Brexit และความผันผวนของตลาดหุ้น ขณะที่ภาพรวมการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนมีโอกาสที่จะอ่อนค่ากลับขึ้นไปแถว 110.7 เยน/ดอลลาร์ได้อีก หากผ่านแนวต้าน 110 เยน/ดอลลาร์ ท่ามกลางเส้น RSI ที่เป็นขาขึ้นและยืนเหนือ 50 จุด

·         บีโอเจมีมติประกาศลดคาดการณ์การเติบโตของอัตราเงินเฟ้อ และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับผ่อนคลายเป็นพิเศษไว้ดังเดิม ตามที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ ท่ามกลางกลางแรงกดดันจากภาวะชะลอตัวของปริมาณอุปสงค์ทั่วโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจไม่สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่ มาเป็นเวลาหลายปี

ขณะที่ทางบีโอเจยังคงมุมมองว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงเติบโตได้ในระดับปานกลาง แม้ว่าภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและข้อพิพาททางการค้าจะทำให้บรรดานักวิเคราะห์ต่างแสดงความกังวลเกี่ยวกับมุมมองดังกล่าวของบีโอเจ

ขณะที่แบบสำรวจโดย Reuters พบว่าบรรดานักเศรษฐศาสตร์มีมุมมองว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มสูงขึ้นที่จะเข้าสู่ภาวะชะลอตัวภายในปีนี้ ทำให้อัตราเงินเฟ้อน่าจะไม่สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายของบีโอเจที่ 2% ได้

·         กระทรวงการคลังแห่งประเทศจีนยืนยัน รัฐบาลจะผลักดันงบประมาณการใช้จ่ายมากขึ้นภายในปีนี้ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ รวมถึงออกนโยบายปรับลดภาษีและดอกเบี้ยสำหรับบริษัทขนาดเล็

นักเศรษฐศาสตตร์ระบุว่า รัฐบาลจีนมีแนวโน้มที่จะเปิดเผยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ระหว่างการประชุมประจำปีของรัฐสภาที่จะมีขึ้นในเดือน มี..ค ซึ่งน่าจะรวมถึงนโยบายลดภาษีที่มากกว่าเดิมและโปรเจ็คท์การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

ทั้งนี้ รัฐบาลจีนมีมูลค่าการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 8.7% ในปี 2018 รวมเป็นมูลค่าทั้งหมด 22.1 ล้านล้านหยวน (3.3 ล้านล้านเหรียญ) ขณะที่รายได้รวมในปี 2018 ขยายตัว 6.2% สู่ระดับ 18.3 ล้านล้านหยวน

และรัฐบาลยังได้ปรับลดภาษีลงในปีดังกล่าวลงไปเป็นมูลค่ารวมประมาณ 1.3 ล้านล้านหยวน

·         CNBC ระบุถึงกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ที่มีมุมมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะเติบโตได้ช้าที่สุดนับตั้งแต่ที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ก็ไม่คิดว่าจะส่งผลให้เกิดภาวะถดถอยอย่างที่บางฝ่ายเป็นกังวล

ในสัปดาห์นี้ความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับภาวะถดถอย มาจากรายงานจีดีพีประจำปี 2018 ของจีน ที่แสดงให้เห็นว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงมากที่สุดในรอบเกือบ 3 ทศวรรษ ที่ระดับ 6.6% ขณะที่กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่บางราย อย่าง Bridgewater กล่าวเตือนถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยในที่ประชุม World Economic Forum (WEF) ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์

ทางด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้จะมีแนวโน้มจะเห็นเศรษฐกิจชะลอตัว แต่นักเศรษฐศาสตร์ก็ไม่คิดว่าจะทราบข้อมูลได้มากพอ อันเนื่องจากผลกระทบของภาวะ Shutdown ขณะที่ข้อมูลยอดขายบ้านมือสองในเดือนธ.ค. ออกมาแย่ลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 3 ปี ขณะเดียวกันความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็อ่อนตัวลงแตะ 90.7 จุด ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต.ค. ปี2016 ท่ามกลางข้อมูลผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ยังแข็งแกร่ง แต่ ISM ได้เผยข้อมูลกิจกรรมการผลิตที่ปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 2 ปี

·         หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Moody’s Analytics กล่าวว่า มีเพียงข้อมูลที่สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ก็ไม่คิดว่าจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ในปีนี้ แต่ก็มีโอกาสสูงที่จะเห็นเศรษฐกิจสหรัฐฯจะประสบภาวะดังกล่าวในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งการที่เราคิดถึงผลลบมาจากการที่เศรษฐกิจมีความอ่อนแอ ประกอบกับแรงกดดันทางการเมืองที่ดูจะรุนแรงมากขึ้น และกลุ่มผู้กำหนดนโยบายจะเริ่มตอบรับในการหานโยบายมาดำเนินการกับผลกระทบดังกล่าว

ขณะที่นักลงทุนรายใหญ่ คาดว่า การชะลอตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเกิดขึ้นในปี 2020 และดูจะมีสัญญาณขาลงต่อมากกว่าที่เราคาดการณ์กันไว้ โดยเรื่องที่กังวลนั้นมาจากภาวะทางการเมืองและการต่อต้านชาตินิยมที่เกิดขึ้น

·         นายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังคงแสดงท่าทีแข็งกร้างกับจีนต่อไป แม้ว่าจะต้องการบรรลุข้อตกลงทางค้าเพื่อกระตุ้นตลาดผ่านการปฏิรูปโครงสร้างที่แท้จริง รวมถึงวิธีจัดการกับทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อบรรลุข้อตกลง

อีกทั้งยังกล่าวอีกว่าการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี การขโมยทรัพย์สินทางปัญญาและการจำกัดการเป็นเจ้าของยังคงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับทรัมป์

·         พรรค Labour ที่เป็นฝ่ายค้านในรัฐสภาอังกฤษ มีแนวโน้มสูงที่จะให้การสนับสนุนร่างนโยบาย Brexit ที่ ส.ส.ยีเวทต์ คูเปอร์ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งของพรรคLabour เป็นผู้นำเสนอต่อรัฐสภา

โดยร่างนโยบายดังกล่าวจะขยายระยะเวลาให้รัฐบาลของนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรี จนถึงวันที่ 26 ก.พ. สำหรับการแก้ไขร่างข้อตกลง Brexit กับอียูให้เป็นที่ยอมรับจากรัฐสภา

หากรัฐบาลไม่สามารถหาข้อตกลงได้ทันก่อนถึงวันที่ดังกล่าว รัฐสภาจะดำเนินการลงมติเห็นชอบว่าจะขยายระยะเวลาของมาตรา 50 เพื่อเลื่อนกำหนดการถอนตัวออกจากอียูแบบ No-deal จากเดิมวันที่ 29 มี.ค. ออกไปอีก 9 เดือน จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. หรือไม่

·         นายมัตเตโอ ซาลวินี รองนายกรัฐมนตรีอิตาลี แสดงความหวังว่า พรรคการเมืองของนายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส จะสูญเสียเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งที่นั่งภายในรัฐสภาอียูในปีนี้ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงความขัดแย้งระหว่างอิตาลีและฝรั่งเศส

ทั้งนี้ อิตาลีและฝรั่งเศส ซึ่งเดิมที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด กลับเริ่มมีท่าทีของความไม่พึงพอใจต่อกัน หลังพรรคฝ่ายขวาจัดและพรรค 5-Star Movement ของอิตาลีก่อตั้งพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อปีที่ผ่านมา และได้ประกาศต่อต้านนโยบายของพรรค En Marche ของนายมาครง

·         นักวิเคราะห์จาก DailyFX ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับแนวต้าน 54.51 - 55.24 เหรียญ/บาร์เรล แต่หากฝ่าไปได้ก็มีโอกาสเห็นราคาน้ำมันกลับไปแถว 59.05 เหรียญ/บาร์เรล ในทางกลับกันหากหลุดต่ำกว่าแนวรับ 50.15 - 49.41 เหรียญ/บาร์เรล ก้็มีโอกาสเห็นราคาน้ำมันกลับลงมาที่ 42.55 - 42.05 เหรียญ/บาร์เรล

·         ผลสำรวจโดย Reuters พบว่า เศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับมีแนวโน้มจะขยายตัวด้วยอัตราที่ชะลอตัวลงกว่าที่เคยคาดการณ์เอาไว้ โดยเป็นผลกระทบมาจากการปรับลดลงกำลังการผลิตน้ำมัน ราคาน้ำมันที่ต่ำ และภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

ทั้งนี้ ผลสำรวจคาดการณ์ GDP ของกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับโดยภาพรวม มีแนวโน้มจะขยายตัวได้ 2.1% ในปี 2019 และ 2.2% ในปี 2020 เทียบกับผลสำรวจเมื่อ 3 เดือนก่อน ที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.5% และ 3.0% ตามลำดับ

ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ในปี 2017 มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 71.6 เหรียญ/บาร์เรล เทียบกับราคาเฉลี่ยปีนี้ที่ยังเคลื่อนไหวอยู่บริเวณ 60 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าราคาจะเฉลี่ยต่ำกว่าระดับ 70 เหรียญ/บาร์เรลตลอดปี 2019 ท่ามกลางแรงกดดันจากภาวะอุปสงค์อ่อนแอแต่อุปทานกลับล้นตลาด

ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่า มาตรการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันที่ตกลงกันระหว่างกลุ่มโอเปกและประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่าง รัสเซีย จะสามารถช่วยหนุนราคาน้ำมันได้จริง แต่จะเป็นการกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเหล่านี้แทน

ขณะที่ทางรัฐบาลของซาอุดิอาระเบีย มีแผนจะเพิ่มงบประมาณค่าใช้จ่ายอีก 7% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่มที่ไม่เกี่ยวกับน้ำมัน ขณะที่ผลสำรวจล่าสุด คาดการณ์ว่ายอดขาดดุลของซาอุดิอาระเบียในปีนี้จะขยายตัวสู่ระดับ 5.6% ของยอด GDP จากผลสำรวจเดิมที่ 4% และสู่ระดับ 5.9% ในปี 2020 จากเดิมที่ 2.8%

·         ราคาน้ำมันดิบทรงตัว ท่ามกลางความหวังหลังรัฐบาลจีนส่งสัญญาณออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง ส่งผลให้ตลาดโลกกังวลว่าเศรษฐกิจจีนอาจเผชิญหน้ากับการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ทรงตัวที่ระดับ 61.49 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคานำมันดิบ WTI ทรงตัวบริเวณ 52.98 เหรียญ/บาร์เรล

·         หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Saxo Bank กล่าวว่า ช่วงไตรมาสแรกของปี 2019 เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังของจีน กล่าวว่า รัฐบาลจะเพิ่มการใช้จ่ายทางการคลังในปีนี้เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ

ปัจจัยที่น่าจะช่วยหนุนเศรษฐกิจได้ คือ ความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่ควรจะส่งสัญญาณเชิงบวกก่อนวันที่ 5 ก.พ.นี้ ซึ่งเป็นวันตรุษจีน มิเช่นนั้นอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวยิ่งไปกว่าเดิม  

ซึ่งหากสามารถบรรลุข้อตกลงได้ก่อนช่วงเวลาดังกล่าว ก็อาจจะเห็นเศรษฐกิจจีนแข็งแกร่งขึ้น 

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com