· ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปิดปรับตัวขึ้นเพราะได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการบริษัท IBM, United Technologies และ Procter&Gamble ที่ออกมาดีขึ้น และทำให้ดัชนีดาวโจนส์ยังปิดบวกขึ้นมา 171.14 จุด ที่ระดับ 24,575.6 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด +0.2% ที่ 2,638.7 เหรียญ หลังหุ้นกลุ่มผู้บริโภคปรับขึ้น 1.2% และดัชนี Nasdaq ปิด +0.1% ที่ 7,025.77 จุด
อย่างไรก็ดี นักลงทุนตลาดหุ้นมุ่งความสนใจไปยังการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ขณะที่ นายแลรี คุดโลว์ ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวกล่าวกับรายการ “Closing Bell” ของ CNBC ยังยืนยันว่า การเจรจากับนายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีของจีนที่จะเดินทางมายังสหรัฐฯ ยังคงเป็นไปตามกำหนดเดิมในวันที่ 30-31 ม.ค.นี้
· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดมาด้วยท่าทีระมัดระวังในเช้าวันนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกและการเจรจาทางการค้าของสหรัฐฯและจีน โดยดัชนีนิกเกอิเปิด -0.29% ทางด้านดัชนี Topix เปิด -0.17%และหุ้น Kospi ของเกาหลีใต้เปิด +0.4%
ทั้งนี้ ความกังวลเกี่ยวกับการเจรจาระหว่างสหรัฐฯและจีนยังคงมีอยู่ หลังจากที่ Financial Times เผยว่าสหรัฐฯมีการยกเลิกการนัดเจรจากับเจ้าหน้าที่จากจีน และรายงานดังกล่าวมีการคอนเฟิร์มกับแหล่งข่าววงในที่ให้ข่าวกับ CNBC แม้ว่านายคุดโลว์จะออกมาปฏิเสธต่อรายงานดังกล่าวก็ตาม
· นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.65 - 31.85 บาท/ดอลลาร์ โดย ระหว่างวันเงินบาทค่อนข้างผันผวน แม้ในช่วงเช้าจะตอบรับข่าวการประกาศ พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ซึ่งทำให้เงินบาทแข็งค่าไปทำ low สุดที่ระดับ 31.70 บาท/ดอลลาร์ แต่พอช่วงบ่ายมีแรงซื้อจากฝั่งผู้นำเข้า ทำให้เงินบาทปรับอ่อนค่าลงมาทำ high ที่ระดับ 31.77 บาท/ดอลลาร์
อย่างไรก็ดี หลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงกำหนดวันเลือกตั้ง ส.ส.เป็นวันที่ 24 มี.ค.62 ก็มีผลให้เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย โดยมองแนวโน้มสำหรับวันนี้ว่าเงินบาทยังมีทิศทางแข็งค่าได้ จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ได้เห็นความชัดเจนของวันเลือกตั้ง จึงน่าจะทำให้มีเงินไหลเข้ามาในตลาดทุน
· ที่ประชุม กกต.มีมติกำหนดวันเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไป ในวันที่ 24 มี.ค.62 โดยจะเปิดรับสมัคร ส.ส.ในระหว่างวันที่ 4-8 ก.พ.62 ประกาศรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.วันที่ 15 ก.พ.62 โดยจะมีการจัดให้ลงคะแนนเสียงนอกราชอาณาจักรวันที่ 4-16 มี.ค.62 และลงคะแนนนอกเขตเลือกตั้งวันที่ 17 มี.ค.62
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน ธ.ค.61 อยู่ที่ระดับ 93.2 ลดลงจาก 93.9 ในเดือน พ.ย.61 เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งผลิตสินค้าไปแล้วในเดือน พ.ย.61 เพื่อชดเชยวันทำงานที่น้อยกว่าปกติในช่วงเดือน ธ.ค. ขณะเดียวกันมีความกังวลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ SMEs นอกจากนี้ ผู้ประกอบการส่งออกยังมีความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อคำสั่งซื้อสินค้าของไทย