ความกังวลเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนเริ่มขยายวงกว้างมากขึ้นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จึงทำให้ตลาดหุ้นยุโรปมีความตึงตัวติดต่อกันมานับตั้งแต่นั้น จากเดิม เศรษฐกิจจีนเป็นอันดับแรกของรายชื่อเศรษฐกิจที่ตลาดมีความกังวลมากที่สุด เนื่องด้วยปัจจัยกดดันหลายๆประการ แต่หลังจากที่ IMF ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจยูโรกลับมาเป็นเศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วงที่สุด เมื่อพิจารณาจากภาพประกอบด้านล่างจะเห็นได้ว่า เศรษฐกิจใหญ่ในยูโรโซนต่างถูกลดคาดการณ์การเติบโตด้วยอัตราที่มากยิ่งกว่าเศรษฐกิจอื่นๆ
จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจยูโรโซน โดยเฉพาะเยอรมนี เป็นปัจจัยที่ฉุดให้ภาพรวมคาดการณ์เศรษฐกิจโลกของ IMF ปรับลดลงอย่างมาก และไม่ใช่เฉพาะคาดการณ์ของ IMF เท่านั้น แบบสำรวจ Economic Surprise data ของ Citigroup ที่วัดความแตกต่างระหว่างคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจเทียบกับผลที่เกิดขึ้นจริง จะเห็นได้ว่า การเติบโตของเศรษฐกิจยูโรโซนเป็นที่น่าผิดหวังอย่างมาก แม้ผลของเศรษฐกิจสหรัฐฯจะออกมาน่าผิดหวังเหมือนกัน แต่ไม่ใช่อัตราที่ใกล้เคียงกันเลย
แล้วปัจจัยที่ช่วยเกื้อหนุนเศรษฐกิจยูโรโซนคืออะไร? ถ้าไม่ใช่จากการเข้าช้อนซื้อหุ้นในภาวะที่ตลาดยูโรโซนอ่อนแอ คำตอบนั้นคงต้องจับตาจากความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางยุโรป หรือ อีซีบี เกี่ยวกับวิกฤติด้านหนี้สินสาธารณะ หากวิกฤติดังกล่าวมีสัญญาณของความคืบหน้าไปในเชิงบวก โอกาสที่เศรษฐกิจยูโรโซนจะฟื้นตัวได้ ก็จะมีสูงขึ้นตาม
ดังนั้น ตลาดจะจับตาการประชุมของอีซีบีที่จะมีขึ้นในคืนนี้ เพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับ นโยบาย Targeted Long-Term Refinancing Operations (TLTRO) หรือการปล่อยกู้ระยะยาวให้กับภาคธนาคาร จากถ้อยแถลงของนายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบี โดยนโนบายดังกล่าวเป็นการปล่อยกู้ให้กับภาคธนาคารในระยะยาวด้วยอัตราที่ภาคธนาคารพึงพอใจ เพื่อนำเงินส่วนนั้นไปทำให้เกิดผลประกอบการทางธุรกิจ โดยนโยบายตัวนี้เคยถูกใช้ในปี 2014 ต่อยอดจากนโยบายปล่อยกู้ฉบับเดิมที่ทางอีซีบีใช้ในช่วงที่วิกฤติทางการเงินมีความรุนแรงมากที่สุด ซึ่งก็คือช่วงปี 2011 และ 2012
ตลาดจะให้ความหวังกับสัญญาณที่อีซีบีอาจนำนโยบาย TLTRO กลับมาใช้ใหม่อีกรอบเป็นอย่างมาก โดยถ้อยแถลงของนายดรากี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะส่งสัญญาณเกี่ยวกับการนำนโยบายนี้กลับมาในช่วงเดือน มี.ค. – พ.ค. ซึ่งอาจเส้นความพยายามครั้งสุดท้ายของอีซีบี ก่อนที่เศรษฐกิจยูโรโซนจะเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างแท้จริง
ที่มา: ฺBloomberg