• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 30 มกราคม 2562

    30 มกราคม 2562 | Economic News
\
·         ค่าเงินปอนด์แข็งคค่าขึ้น 0.2% บริเวณ 1.3091 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังอ่อนค่าลง 0.7% เมื่อคืนนี้  จากความกังวลในโอกาสเกิดกรณี No-deal ที่สูงขึ้น ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อยก่อนที่จะทราบผลประชุมเฟด

·         นักวิเคราะห์จาก Daiwa Securities กล่าวว่า ยังคงเป็นเรื่องยากที่จะสามารถคาดการณ์ทิศทางต่อไปของค่าเงินปอนด์ได้ แต่มีแนวโน้มที่อังกฤษอาจเลื่อนการ Brexit ออกไป ขณะที่ตลาดจะจับตาดูว่า จะถูกขยายระยะเวลาออกไปมากแค่ไหน

ขณะที่จุดสนใจของตลาดในวันนี้ ได้เปลี่ยนมาที่การประชุมของเฟด ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าเฟดมีแนวโมจะคงดอกเบี้ยเอาไว้ พร้อมส่งสัญญาณชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อรอดูท่าทีของเศรษฐกิจไปก่อน ขณะที่ตลาดคาดการณ์โอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ไว้ที่ 1 ครั้งและโอกาสดังกล่าวยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ

อีกประเด็นหนึ่งที่ตลาดจะจับตาคือการเจรจาการค้าระหว่างตัวแทนจากสหรัฐฯและจีน นำโดยนายหลิว เห่อ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจของจีน ขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังคงมีมุมมองที่แตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งหากมีสัญญาณว่าความขัดแย้งอาจรุนแรงยิ่งขึ้น ก็มีแนวโน้มที่เศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบที่มากกว่าเดิม

ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.1% บริเวณ 95.732 จุด หลังจากที่เมื่อคืนนี้อ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 95.620 จุด ท่ามกลางการปรับลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ

ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.1% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่บริเวณ 109.29 เยน/ดอลลาร์

·         ค่าเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์มีการเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 109.40 เยน/ดอลลาร์ และ แนวต้าน 108.50 เยน/ดอลลาร์ ติดต่อกันมาได้ระยะหนึ่ง โดยมีบางช่วงที่ค่าเงินหลุดกรอบดังกล่าวไปบ้าง แต่ในภาพรวมแล้วก็ยังคงเป็นกรอบที่คุมการเคลื่อนไหวของค่าเงินได้อย่างแข็งแกร่ง

ทั้งนี้ หากค่าเงินดอลลาร์มีสัญญาณอ่อนแอลงหลังการประชุมเฟดคืนนี้ ค่าเงินเยนมีแนวโน้มทีจะแข็งค่าลงมาทดสอบแนวรับแรก ขณะที่แนวรับถัดไปจะอยู่ที่ 107.09 เยน/ดอลลาร์ แต่มองว่ายังเร็วเกินไปที่จะแข็งค่าลงถึงแนวรับถัดไป

ในขณะที่มุมมองในทิศทางอ่อนค่า ยังคงถูกกดดันจากการร่วงลงของค่าเงินในช่วงวันที่ 27 ธ.ค. ถึง ม.ค ซึ่งหากค่าเงินเยนจะขึ้นไปถึงระดับดังกล่าว จะขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของค่าเงินดอลลาร์เป็นหลัก ขณะที่แนวต้านถัดไปจะอยู่ที่ 111.33 เยน/ดอลลาร์

·         รายงานจาก Reuters ระบุว่า ตัวแทนจากสหรัฐฯและจีนได้เปิดฉากการเจรจาการค้าในระดับสูงขึ้นแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะร่วมบรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกันให้ได้ก่อนถึงเดดไลน์ในวันที่ 2 มี.ค. นี้

อย่างไรก็ตาม ผู้เกี่ยวข้องกับการเจรจาครั้งนี้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวว่า ทั้ง ฝ่ายยังคงมีจุดยืนที่แตกต่างกันอย่างมาก โดยเฉพาะประเด็นการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และข้อเรียกร้องจากสหรัฐฯให้จีนปฏิรูปโครงสร้างทางการค้า ซึ่งล่าสุด ยังคงไม่มีท่าทีว่าจีนจะตอบรับกับข้อเรียกร้องดังกล่าวของสหรัฐฯแต่อย่างใด

·         การดำเนินการขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ นำมาซึ่งการต่อต้านจากประเทศคู่ค้า ไม่ว่าจะเป็นจีน หรือสหภาพยุโรปก็ดี โดยพวกเขาได้โต้กลับสหรัฐฯด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯเช่นเดียวกัน ทำให้เกิดเป็นความขัดแย้งทางการค้าขึ้นทั่วโลก โดยระหว่างความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับจีน ที่ในช่วงสัปดาห์นี้กำลังมีการเจรจากัน ท่ามกลางความหวังว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะสามารถหาจุดยืนร่วมกันได้ในที่สุด

สำหรับอัตราภาษีที่สหรัฐฯเป็นผู้ประกาศขึ้นกับประเทศจีน ในช่วงปีที่ผ่านมา มีดังต่อไปนี้

ทั้งนี้ หากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ทันเดดไลน์ในเดือน มี.ค. นายทรัมป์ได้เคยประกาศว่าจะทำการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าที่เหลือทั้งหมดจากประเทศจีน คิดเป็นมูลค่าอีกประมาณ 2.67 แสนล้านเหรียญ ซึ่งจะเป็นสินค้าในกลุ่ม โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ เสื้อผ้า รองเท้า และสินค้าผู้บริโภคอื่นๆ

ขณะที่จีนจะสามารถปรับขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐฯได้อีกแค่ประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญเท่านั้น ซึ่งใน 1.6 หมื่นล้านเหรียญนั้น เป็นสินค้าในกลุ่มอากาศยานพาณิชย์ของบริษัท Boeing ดังนั้นการต่อต้านนโยบายภาษีสหรัฐฯอาจเป็นการคุมเข้ม ไม่ให้บริษัทสหรัฐฯสามารถดำเนินธุรกรรมใดๆในประเทศจีนได้โดยง่ายแทน

· Goldman Sachs ปรับคาดการณ์โอกาสเกิดกรณี No-deal Brexit สูงขึ้น หลังรัฐสภาอังกฤษมีมติให้นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรี นำร่างข้อตกลง Brexit ไปเจรจากับทางอียูใหม่อีกครั้ง

โดย Goldman Sachs มองโอกาสเกิดกรณี No-deal Brexit ไว้ที่ระดับ 15% จากเดิมที่ 10% ขณะที่มองโอกาสที่สำหรับกรณียกเลิก Brexit โดยสิ้นเชิงไว้ที่ 35% จากเดิม 40% และมองโอกาสที่จะขยายระยะเวลา Brexitออกไป คงไว้ที่ระดับ 50%

นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ระบุว่า แม้ทางรัฐสภาอังกฤษจะส่งสัญญาณที่ค่อนข้างชัดเจนว่าพวกเขาไม่สนับสนุนให้เกิดกรณี No-deal Brexit แต่ก็มีโอกาสที่รัฐสภาจะกลับมาพิจาณาปล่อยให้เป็น No-deal Brexit อีกครั้งได้ ขณะที่ภาพรวมอนาคตของ Brexit ยังคงไร้ซึ่งความชัดเจน

· นักวิเคราะห์คาดการณ์เป็นวงกว้างว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยและส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมคืนนี้ เพื่อจับตาดูท่าทีของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังไร้ความชัดเจนว่าจะชะลอตัวลงตามทิศทางของเศรษฐกิจโลกหรือไม่

โดยสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นหลังรัฐบาลจีนมีการออกมาตรการเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ทางอีซีบีได้ออกมายอรับว่าภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนอาจยืดเยื้อมากกว่าที่คาดไว้ และทางองค์กร IMF ก็ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกลง พร้อมเตือนว่าความขัดแย้งการค้าที่เกิดจากการขึ้นภาษีจะเป็นปัจจัยหลักที่กดดันเศรษฐกิจโลก

นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Royal London Asset Management มองว่า ภาวะ Shutdown ของสหรัฐฯที่กินเวลาไปเกือบ 5 สัปดาห์ส่งผลให้ตัวเลขเศรษฐกิจที่ภาครัฐเป็นผู้เก็บรวบรวมถูกเลื่อนการประกาศออกไป จึงยิ่งทำให้เฟดประเมินสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯได้ยากลำบาก และมีแนวโน้มที่จะส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้

· ราคาน้ำมันค่อนข้างทรงตัวในวันนี้ โดยมีแรงหนุนจากปริมาณอุปทานน้ำมันในสหรัฐฯที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอลา ขณะที่ตลาดยังคงเผชิญแรงกดดันจากสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

ทั้งนี้ ราคาสัญญาน้ำมัน WTI ทรงตัวบริเวณ 53.30 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมัน Brent ทรงตัวบริเวณ 61.32 เหรียญ/บาร์เรล

นักวิเคราะห์จาก Vanda Insights ระบุว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับปริมาณน้ำมันในสหรัฐฯยังคงอยู่ในแค่ระดับปานกลาง และเกิดเฉพาะกับบรรดาโรงกลั่นน้ำมันที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อ่าวเม็กซิโกเท่านั้น และบรรดาโรงกลั่นน้ำมันเหล่านั้นก็กำลังเพิ่มการเข้าซื้อน้ำมันจากแคนาดามากขึ้นแทน

ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Rystad Energy ระบุว่า ปริมาณส่งออกน้ำมันจากเวเนซุเอลาไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่น้ำมันเหล่านั้นถูกเปลี่ยนทิศทางไปสู่ประเทศอื่นๆแทน โดยเฉพาะจีนและอินเดียที่ได้น้ำมันจากเวเนซุเอลาไปในราคาที่ถูกลงอย่างมาก


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com