โดยในแถลงการณ์ของเฟด บ่งชี้ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกและการเงินดูมีความเปราะบาง ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อที่ชะงักงัน จึงทำให้สมาชิกเฟดน่าจะต้องอดทนรอเพื่อปรับเป้าหมายกรอบดอกเบี้ยของเฟดเพื่อให้เหมาะสมและตอบรับกับผลลัพธ์
อย่างไรก็ดี นอกจากเฟดจะอดทนรอต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยปีนี้จากภาวะความไม่แน่นอนมากขึ้นต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจสหรัฐฯแล้ว เฟดยังพูดถึงการเตรียมความพร้อมในการใช้เครื่องมือทางการเงิน ได้แก่ การพิจารณาใหม่เกี่ยวกับการปรับลดการถือครองพันธบัตรในงบดุลของเฟด หากสภาวะเศรษฐกิจบ่งชี้ถึงความจำเป็นดังกล่าว
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า จากถ้อยแถลงของเฟดดูมีโอกาสเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่จะขึ้นดอกเบี้ยปีนี้ รวมทั้งอาจมีการลดโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยปี 2020 แต่ดูเหมือนจะมีโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยตามมามากกว่า
· หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Fitch Ratings กล่าวว่า ถ้อยแถลงของเฟดดูจะมีโอกาสเห็นเฟดชะลอการดอกเบี้ยได้มากกว่าที่จะส่งสัญญาณถึงการยุติวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ย
· นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด ส่งสัญญาณชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยถ้อยคำที่ชัดเจนที่สุดเมื่อวานนี้ โดยนายโพเวลล์ระบุว่า แนวโน้มที่เฟดจะสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ มีโอกาสน้อยลงไปอย่างมาก เนื่องปัจจัยหลายอย่างที่กดดันเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นความกังวลในประเด็น Brexit และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน แต่ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดมากที่สุด คือเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่ปัจจุบันยังคงค่อนข้างซบเซา ดังนั้น บรรดาคณะกรรมการเฟดจึงมีมติที่จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ เพื่อจับตาท่าทีของเศรษฐกิจและการตอบสนองต่อปัจจัยที่ยกมาข้างต้นไปก่อน
ทั้งนี้ คาดการณ์อย่างเป็นทางการของเฟดเอง ยังคงคาดโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ไว้ที่ 2 ครั้ง ขณะที่คาดการณ์ของตลาดมองว่าจะไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ รวมถึมีโอกาสเล็กน้อยที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2020
· รายงานจากสำนักข่าว South China Morning Post ระบุว่า บรรดานักการทูตและผู้ที่เกี่ยวข้องต่างคาดการณ์กันว่า จีนและสหรัฐฯจะมีการจัดการเจรจาการค้าขึ้นอีกอย่างน้อย 1-2 ครั้ง ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าได้ก่อนที่จะถึงกำหนดเส้นตายในวันที่ 1 มี.ค.
การเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่ายได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวานนี้ แม้จะยังไม่มีรายงานความคืบหน้าออกมา แต่ทางจีนมีแนวโน้มที่จะตอบรับกับข้อเรียกร้องของสหรัฐฯที่ได้มีการเจรจาไปก่อนหน้าในช่วงต้นเดือน ม.ค. ขณะที่การเจรจาน่าจะหาข้อสรุปได้ภายในคืนนี้ หรือช่วงบ่ายของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ทีมเจรจาจากฝั่งจีนมีผู้นำทีมคือนายหลิว เห่อ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ขณะที่ทีมเจรจาของสหรัฐฯมีผู้นำทีมคือนายโรเบิร์ต ไรท์ไฮเซอร์ ตัวแทนการค้าแห่งสหรัฐฯ และนายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับขึ้นเพราะได้รับแรงหนุนจากข้อมูลรายงานรัฐบาลสหรัฐฯที่สะท้อนถึงภาวะตึงตัวของอุปทานน้ำมัน ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่มีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและเวเนซุเอล่า หลังสหรัฐฯประกาศคว่ำบาตรภาคอุตสาหกรรมน้ำมันของประเทศดังกล่าว
น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 92 เซนต์ คิดเป็น +1.7% ที่ระดับ 54.23 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย.
ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดขึ้น 43 เซนต์ ที่ระดับ 61.75 เหรียญ/บาร์เรล
· รายงานจาก EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับขึ้นเพียง 919,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเห็นสต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นมาที่ 3.2 ล้านบาร์เรล