· ค่าเงินดอลลาร์ยังคงปรับแข็งค่าต่อ โดยดัชนีดอลลาร์มาอยู่ที่ระดับ 96.36 จุด หลังจากที่เมื่อวานลงไปทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดของวันบริเวณ 96 จุด ขณะที่ค่าเงินเยนทรงตัวที่ 109.88 เยน/ดอลลาร์ โดยอ่อนค่าขึ้นหลังลงไปทำระดับแข็งค่าบริเวณ 109.54 เยน/ดอลลาร์วานนี้
· นางเจเน็ต เยลเลน อดีตประธานเฟด กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC ในรายการ “Power Lunch” โดยระบุว่า การเคลื่อนไหวต่อไปของเฟดอาจเป็นการปรับลดดอกเบี้ย หากการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่กำลังอ่อนตัวเริ่มสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ทั้งนี้ เศรษฐกิจจีนและยุโรปที่กำลังอ่อนตัว ถือเป็นสัญญาณอันตรายต่อการขายตัวที่แข็งแกร่งทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงมีความเป็นไปได้ว่า หากการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกอ่อนกำลังลง ก็จะส่งผลต่อเงื่อนไขทางการเงินของสหรัฐฯให้ตึงตัวมากขึ้น และนั่นจะสร้างแรงกดดันให้เศรษฐกิจสหรัฐฯอ่อนตัวลง และมีความเป็นไปได้ว่านโยบายต่อไปของเฟดคือการปรับลดดอกเบี้ยนั่นเอง
· นายแรนดัล ควอเรส รองประธานเฟดด้านการกำกับดูแล ระบุว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และผลกระทบที่เกิดจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เป็นปัจจัยที่ตลาดโลกกังวลมากที่สุดในปัจจุบัน ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯยังสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในตลาดแรงงาน แต่เฟดก็จะจับตาผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่อาจเกิดจากปัจจัยข้างต้นอย่างใกล้ชิด
· นายเจอโรม โพเวล ประธานเฟด กล่าวถ้อยแถลงในช่วงเช้าวันนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ท่ามกลางอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำ และอัตราเงินเฟ้อที่ขยายตัวใกล้เป้าหมาย 2% ของเฟด รวมถึงสามารถรองรับความเสี่ยงจากปัจจัยกดดันจากนอกประเทศได้เป็นอย่างดี อย่างเช่น ความเสี่ยงจากภาวะ Brexit ของอังกฤษ
· นายสตีเฟน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ยืนยันว่า ตนและนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ตัวแทนการค้าแห่งสหรัฐฯ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่ง จะเดินทางไปยังกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ภายในสัปดาห์หน้า เพื่อสานต่อการเจรจาการค้าร่วมกับตัวแทนจีน โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะหาข้อตกลงร่วมกันให้สำเร็จ ก่อนถึงเดดไลน์ในวันที่ 2 มี.ค.
ทั้งนี้ นายมนูชินยังได้ยืนยันอีกว่า การเจรจาครั้งที่ผ่านมาร่วมกับนายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจแห่งประเทศจีน การเจรจามีความคืบหน้าอย่างมาก และทั้ง 2 ฝ่ายต่างทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้
· ขณะที่การกล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อโทรทัศน์ของ CNBC นายมนูชิน แสดงความมั่นใจว่าการเจรจาทางการค้ากับจีนมีความคืบหน้า และย้ำถึงความพยายามให้เกิดข้อตกลงให้ได้ก่อนกำหนดเส้นตายที่จะถึงนี้
· สำนักงานด้านสิถิติ ประจำกระทรวงพาณิชย์แห่งสหรัฐฯ ระบุว่า ตัวเลขยอดค้าปลีก (Retail sales) ของเดือน ธ.ค. จะถูกประกาศในวันที่ 14 ก.พ. โดยประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจบางส่วนของสหรัฐฯ ถูกเลื่อนการประกาศออกไป เนื่องจากผลกระทบของภาวะ Shutdown ที่กินเวลาเกือบ 5 สัปดาห์
สำหรับกำหนดการประกาศตัวเลขอื่นๆ ได้แก่
- ตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable goods) ประกาศวันที่ 21 ก.พ.
- ยอดก่อสร้างบ้านใหม่ (Housing starts) ประกาศวันที่ 26 ก.พ.
- ยอดขายบ้านใหม่ (New home sales) ประกาศวันที่ 5 มี.ค.
- ตัวเลขการก่อสร้างด้านอื่นๆ ประกาศวันที่ 4 มี.ค.
· ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) มีแนวโน้มจะปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจอังกฤษที่ค่อนข้างอ่อนแออยู่แล้วลงไปอีก เนื่องจากผลกระทบของความไม่แน่นอนในกรณี Brexit ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึง 50 วัน ที่อังกฤษจะถอนตัวออกจากอียูอย่างเป็นทางการ รวมถึงแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม บีโออีมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0.75% ในการประชุมคืนนี้ แต่อาจมีการส่งสัญญาณจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากจำเป็นและเฉพาะในกรณีอังกฤษสามารถหลีกเลี่ยงการถอนตัวออกจากอียูแบบ No-deal ได้
ขณะที่นักวิเคราะห์จาก EY Item Club มองว่า บรรดาคณะกรรมการของบีโออี กำลังอยู่ในสภาวะ Wait & See เพื่อรอความชัดเจนของประเด็น Brexit
· นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เตรียมประกาศเลื่อนการลงมติข้อตกลง Brexit ในรัฐสภา ไปเป็นช่วงปลายเดือน ก.พ. จากเดิมที่มีกำหนดจะลงมติภายสัปดาห์หน้า เนื่องจากทางคณะรัฐมนตรีมองว่าเธอน่าจะไม่สามารถเจรจาข้อตกลงใหม่กับทางอียูได้ทันภายในสัปดาห์หน้า
โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางรัฐสภาอังกฤษมีมติเห็นชอบให้นางเมย์นำข้อตกลง Brexit ไปทำการเจรจากับอียูเพื่อแก้ไขข้อตกลงใหม่อีกครั้ง ก่อนที่จะนำกลับมาลงติในรัฐสภาอังกฤษ แต่ทางนายโดนัลด์ ทัคส์ ประธานคณะกรรมาธิการแห่งอียู ยังคงยืนยันว่า อียูจะไม่ยอมเจรจากับทางอังกฤษอีกครั้งแต่อย่างใด
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับขึ้นเพราะได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์น้ำมันในสหรัฐฯที่ยังแข็งแกร่ง ประกอบกับภาวะตึงตัวของอุปทานน้ำมัน แต่การแข็งค่าของดอลลาร์ก็ยังเป็นปัจจัยจำกัดการปรับขึ้นของน้ำมันท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกด้วยเช่นกัน
น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 35 เซนต์ ที่ 54.01 เหรียญ/บาร์เรล หลังไปทำ Low 52.86 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 64 เซนต์ คิดเป็น +1% ที่ 62.62 เหรียญ/บาร์เรล หลังเมื่อวานนี้ทำ Low ที่ 61.05 เหรียญ/บาร์เรล