· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนหลังจากที่รายงานของ CNBC ระบุว่า นายทรัมป์จะไม่พบกับผู้นำจีนก่อนวันที่ 2 มี.ค.นี้ ซึ่งเป็นเดดไลน์ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันไว้ โดยค่าเงินเยนกลับแข็งค่าลงมา 0.15% ที่ระดับ 109.79 เยน
ขณะเดียวกันค่าเงินดอลลาร์ก็ยังได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากการอ่อนค่าของค่าเงินยูโรที่ตอบรับกับการที่คณะกรรมาธิการอียูปรับลดมุมมองการขยายตัวทางเศรษฐกิจยูโรโซน อันเนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าและปัญหาการเมืองในหลายๆประเทศ
นอกจากนี้ค่าเงินยูโรยังถูกกดดันจากข้อมูลผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีที่ร่วงลงเกินคาดในเดือนธ.ค. โดยดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นอีก 0.1% มาที่ 96.49 จุด
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาจะไม่ทำการเข้าพบกับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนก่อนกำหนดเส้นตายวันที่ 2 มี.ค.นี้ ซึ่งเป็นกำหนดเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายต้องบรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกันให้ได้
และถ้อยแถลงดังกล่าวของนายทรัมป์ ยิ่งเป็นการตอกย้ำรายงานจาก CNBC ที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสของนายทรัมป์ มองว่า มีแนวโมสูงที่จะไม่เกิดการเจรจาใดๆระหว่างสองผู้นำในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้
ขณะเดียวกันหลายฝ่ายยังคาดหวังว่าจะเห็นนายทรัมป์และนายสีพบกัน หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างทำงานหนักเพื่อหาข้อตกลงทางการค้าร่วมกัน ขณะที่นายทรัมป์มีกำหนดการพบเจอกับนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือในวันที่ 27-28 ก.พ.
อย่างไรก็ดี มีแหล่งข่าวระบุว่า นายทรัมป์ และนายสี อาจมีการพบกันในช่วงเวลาสั้นวันที่ 2 มี.ค.นี้ได้
· นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ ระบุว่า มีแนวโน้มที่อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯในปีนี้จะยังไม่สามารถขยายตัวถึงระดับเป้าหมายที่ 2% ของเฟดติดต่อกันเป็นปีที่ 8 จึงเป็นสัญญาณตอกย้ำว่า วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด น่าจะหยุดลงในเร็วๆนี้
นอกจากนี้ นายบูลลาร์ดระบุว่า ทางตลาดเองก็มีมุมมองว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงชะลอตัว ไม่ใช่แค่ในปีนี้ แต่รวมถึงในปีต่อๆไปอีกด้วย ขณะที่ตัวนายบูลลาร์ดเองก็มีมุมมองว่า เฟดไม่ควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่ากรอบ 2.25 – 2.5% ซึ่งเป็นกรอบอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน
· นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด มีกำหนดจะขึ้นแถลงการดำเนินโยบายการเงินประจำปีของเฟด ต่อคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งวุฒิสภาสหรัฐฯ ภายในวันอังคารที่ 26 ก.พ. นี้
· นักวิเคราะห์จาก Eurasia Group คาดการณ์ว่าในการพบกันระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ที่จะเกิดขึ้นภายในเดือนนี้ โดยการประชุมจะจัดขึ้นที่ประเทศเวียดนาม นายทรัมป์มีแนวโน้มที่จะเสนอลดมาตรการคว่ำบาตรให้กับเกาหลีเหนือ รวมถึงลดจำนวนทหารที่ประจำการอยู่ในพื้นที่เกาหลีใต้ออกไป
ขณะที่ Atlantic Council ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่นายทรัมป์อาจเสนอให้เกาหลีเหนือสามารถเข้าเจรจากับกองทุน IMF, ตลอดจน World Bank และWTO
· ธนาคารกลางอังกฤษหรือบีโออีหั่นคาดการณ์เศรษฐกิจอังกฤษปีนี้ลงไป 1.2% จากคาดการณ์เดิมที่คาดว่าปีนี้จะเติบโตได้ 1.7% ขณะที่ปีหน้าคาดจะขยายตัวได้เพียง 1.5% จากคาดเดิมที่ 1.7% สำหรับเงินเฟ้อก็ยังคงน่าจะอยู่ต่ำกว่าระดับ 2% ในระยะสั้น แต่อาจมีการดีดกลับขึ้นมาได้เพียงเล็กน้อย
· ธนาคารกลางอินเดียมีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 6.25% จากระดับก่อนหน้านี้ที่ 6.50% ผิดกับคาดการณ์ส่วนใหญ่ของตลาด รวมถึงเปลี่ยนมุมมองแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินจาก “คุมเข้ม” มาเป็นแบบ “เป็นกลาง” ทำให้ตลาดมีมุมมองว่า ธนาคารกลางอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อๆไปตามมาอีก
ซึ่งคาดว่าการลดดอกเบี้ยลงครั้งนี้ น่าจะได้รับเสียงชื่นชมจากนายนเรนทระ โมที นายกรัฐมนตรีอินเดีย ที่ต้องการกระตุ้นให้เงินกู้มีต้นทุนที่ถูกลง และช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย
· ราคาน้ำมันดิบดิ่งลงจากความกังวลต่อภาวะอุปสงค์โลกที่อาจปรับตัวลงในอีกไม่กี่ปีนี้ จากประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับลง 1.37 เหรียญ คิดเป็น -2.5% ที่ระดับ 52.64 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านน้ำมันดิบ Brent ปิดลง 1.05 เหรียญ คิดเป็น -1.7% ที่ระดับ 61.64 เหรียญ