· ดาวโจนส์ปิดร่วงลง 220.77 จุด ที่ระดับ 25,169.53 ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิด -0.94% ที่ระดับ 2,706.05 จุด และดัชนี Nasdaq ปิด -1.2% ที่ระดับ 7,288.35 จุด ทางด้านหุ้นสหรัฐฯร่วงลงจากข่าวที่ว่าผู้นำสหรัฐฯและจีนอาจจะไม่เกิดขึ้นก่อนกำหนดเส้นตายของการหาทางออกทางการค้าร่วมกันในเดือนมี.ค.
· รายงานจาก CNBC เผยว่ามีแนวโน้มสูงที่ผู้นำทั้งสองจะไม่พบกันจนกว่าจะเริ่มเดือนมี.ค. และหากยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ทางจีนก็อาจโดนเรียกเก็บภาษีจากสหรัฐฯในทันที โดยแหล่งข่าว ระบุว่า การประชุมของนายทรัมป์และสี อาจเกิดขึ้นได้หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายผ่านวันที่กำหนดกันไว้ แต่โดยภาพรวมทั้งสองฝ่ายก็มีการทำงานร่วมกันอย่างหนัก ขณะที่ทรัมป์ยืนยันในช่วงดึกวานนี้ว่าเขาจะไม่พบกับนายสีแต่อย่างใดก่อนกำหนดเส้นตาย
· ช่วงเช้าวานนี้ นายแลรี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของทำเนียบขาว กล่าวว่า จีนและสหรัฐฯยังอยู่ห่างไกลจากการบรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกัน โดยมีรายละเอียดร่วมกันเพียงเล็กน้อย แต่นายทรัมป์ก็ยังคงมีมุมมองเชิงบวกและคาดว่าข้อตกลงทั้งสองประเทศน่าจะเกิดขึ้นได้
· ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ตอบรับกับท่าทีระมัดระวังต่อสัญญาณชี้นำทางเศรษฐกิจโลก จากอียูและธนาคารกลางอังกฤษ ดัชนี Stoxx 600 ปิด -1.36%
· อียูมีการหั่นคาดการณ์แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนปีนี้ลงไป ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าโลก และคาดว่าเศรษฐกิจยูโรโซนปีนี้จะขยายตัวได้เพียง 1.3% จากคาดการณ์เดิมที่ 1.9%
ขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษปรับลดแนวโน้มการขยายตัวและเงินเฟ้อ โดยธนาคารกลางอังกฤษคาดว่าจะเห็นเศรษฐกิจอังกฤษชะลอตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 อันเป็นผลจากความไม่แน่นอนของ Brexit ควบคู่กับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก และอาจทำให้ธนาคารกลางอังกฤษเองเริ่มพิจารณาที่จะค่อยๆจำกัดการปรับขึ้นดอกเบี้ย
· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับตัวลงเช้านี้ท่ามกลางความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยดัชนีนิกเกอิเปิด -1.23%และดัชนี Topix ปิด -1.26% ขณะที่ Kospi ของเกาหลีใต้เปิด -0.66% และดัชนี ASX200 ปิด -0.4%
· นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทน่าจะยังเคลื่อนไหวในกรอบ 31.20-31.30 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทยังค่อนข้างทรงตัว หลังผลการประชุม กนง. แม้ว่าค่าเงินยูโรจะอ่อนค่า คาดว่าตลาดรอดูปัจจัยใหม่ๆ
· สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวยอมรับว่ามีความเป็นห่วงว่าการส่งออกในปีนี้อาจเติบโตได้ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ที่ 5% เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจเป็นอุปสรรคสำคัญ ประกอบด้วย บรรยากาศการค้าโลกบนความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่จะมีการเจรจากันอีกครั้งในวันที่ 27-28 ก.พ. 62 รวมถึงการเจรจาระหว่างสหภาพยุโรปและอังกฤษในกรณีของ Brexit และเหตุจลาจลในภาคพื้นยุโรป นอกจากนั้น ยังมีความผันผวนของค่าเงิน และราคาน้ำมันดิบ โดยเฉพาะค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ส่วนของราคาน้ำมันที่มีความผันผวนจากมาตรการคว่ำบาตรประเทศผูค้าน้ำมัน และทิศทางการจัดการของ OPEC ซึ่งทำให้ผู้ส่งออกมีความเสี่ยงและต้นทุนที่ต้องจัดการมากขึ้น ขณะที่รายได้ในรูปของเงินบาทลดลง
· ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีสถานการณ์ธุรกิจ ไตรมาส 4/2561 อยู่ที่ 43.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.5 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (3/2561) ส่วนไตรมาส 1/2562 คาดจะเพิ่มขึ้นอีก ไปอยู่ที่ 43.9