· ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดของปีนี้ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าและความกังวลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกที่ดูจะหนุนให้ดอลลาร์กลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในเวลานี้ ท่ามกลางค่าเงินยูโรและค่าเงินปอนด์ที่ดูจะอ่อนค่า อันเป็นผลจากปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศตนเอง
นักลงทุนในตลาดกำลังให้ความสนใจไปยังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางข้อเรียกร้องของสหรัฐฯที่ต้องการให้จีนมีการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทสหรัฐฯ และยุติการถ่ายโอนข้อมูลเทคโนโลยีสู่บริษัทจีน และจำกัดการดำเนินการภาคอุตสาหกรรมควบคู่กันไป
ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้นมา 0.45% ที่ระดับ 97.06 จุด และถือเป็นระดับการขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ 24 ม.ค. โดยเป็นการปรับแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง 8 วันทำการ เพราะได้รับอานิสงส์หลักจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ที่ดูจะกลับลงมาแถว 1.1272 ดอลลาร์/ยูโรในเช้านี้ ซึ่งเป็นการอ่อนค่าต่อเนื่อง 6 วันการ ท่ามกลางเหล่าเทรดเดอร์ที่ทำการตัดขาดทุนบริเวณแนวรับสำคัญทางจิตวิทยาบริเวณ 1.13 ดอลลาร์/ยูโรเมื่อมีการ Break ลงมา
· นักกลยุทธ์ค่าเงินจาก BK Asset Management กล่าวว่า ระดับแนวรับสำคัญต่อไปของค่าเงินยูโณจะอยู่ที่ 1.1215 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในเดือนพ.ย. และดูเหมือนจะมีโอกาสกลับมาทดสอบได้อย่างรวดเร็ว
· ค่าเงินปอนด์ปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยมาที่ 1.2857 ดอลลาร์/ปอนด์หลังจากที่อ่อนค่าลงกว่า 0.75% ในวันก่อนหน้า โดยนักวิเคราะห์ยังมองว่าค่าเงินปอนด์ยังคงมีความผันผวนจากความไม่แน่นอนกรณี Brexit โดยทางรัฐสภาอังกฤษจะมีการหารือถึง Brexit อีกครั้งในวันที่ 14 ก.พ. นี้ ขณะที่นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษกำลังมองหาแนวทางการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงกับทางอียู หลังจากที่ถูกปฏิเสธจากเสียงส่วนใหญ่ในสภาฯเมื่อเดือนที่ผ่านมา
· บรรดาผู้นำพรรครีพับลิกันและเดโมแครตในสภาคองเกรสได้กลับร่วมกันเจรจาภายใต้หัวข้อการรักษาความปลอดภัยด้านชายแดนอีกครั้ง หลังจากที่การเจรจาเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาประสบความล้มเหลว ท่ามกลางโอกาสเกิดภาวะ Shutdown ขึ้นอีกรอบหากการเจรจาไม่ประสบความสำเร็จก่อนวันศุกร์นี้
โดยบรรดาผู้นำพรรคต้องการที่จะบรรลุข้อตกลงให้ได้ภายในคืนวันจันทร์ เพื่อนำไปลงติในสภาล่างและสภาสูงก่อนที่จะส่งให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามให้ทันภายในวันศุกร์ ซึ่งจะเป็นวันที่งบประมาณสำหรับกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานอื่นๆของภาครัฐจะหมดอายุลง
· นายเกร็ก เดวิส หัวหน้าฝ่ายการลงทุนจาก Vanguard Group Inc. คาดการณ์ว่า เฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง ภายในเดือน มิ.ย. ปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯมีโอกาส 50-50 ที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยภายในปี 2020
โดยนายเดวิสมองว่า อัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวและสภาวะของตลาดในปัจจุบัน น่าจะช่วยสนับสนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรบริษัทและสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆที่ผลประกอบการที่ดีขึ้นได้ ขณะที่อัตราค่าจ้างที่สูงขึ้นรวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นๆอาจหนุนให้เฟดพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ 1 ครั้งในปีนี้ ก่อนที่จะระงับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลาที่เหลือของปี ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งด้านการค้าและการเมือง
ทั้งนี้ Vanguard Group คาดการณ์ เศรษฐกิจสหรัฐฯในปีนี้มีแนวโน้มที่จะชะลอการเติบโตลงสู่ระดับ 2% ขณะที่เศรษฐกิจจีนคาดว่าจะเติบโตได้ 6% และยุโรปที่ 1%
ส่วนโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2019 มีอยู่ที่ 35% จากเดิม 30% และจะมีโอกาสมากขึ้นที่ระดับ 40-50% ในปี 2020
· นางเหมิง หวันโจว CFO ของ Huawei ที่ถูกจับกุมในประเทศแคนาดาเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา มีกำหนดถูกไต่สวนภายในวันที่ 6 มี.ค. ที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ซึ่งทางศาลแคนาดาจะเป็นผู้พิจารณาตัดสินโทษ ขณะที่สหรัฐฯกำลังเรียกร้องให้แคนาดาทำการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนมายังสหรัฐฯ
ส่วนกรณีที่ Huawei ถูกสหรัฐฯฟ้องร้องให้ข้อหาโจรกรรมข้อมูลที่เป็นความลับจากบริษัท T-Mobile มีกำหนดไต่สวนในวันที่ 28 ก.พ. ณ กรุงวอชิงตัน ของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ทางทีมบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า ตัวประธานาธิบดีสหรัฐฯกำลังพิจารณาที่จะกีดกันการนำเข้าและใช้งานอุปกรณ์การสื่อสารของHuawei ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่สนับสนุนระบบ 5G
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลงจากความกังวลเกี่ยวกับการกลับมาเจรจากันระหว่างสหรัฐฯและจีนในสัปดาห์นี้ จึงบดบังปัจจัยบวกจากการที่อุปทานน้ำมันของกลุ่มโอเปกปรับตัวลง
น้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 63 เซนต์ หรือ -1% ที่ระดับ 61.46 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ WTI ปิดลง -0.6% ทีระดับ 52.41 เหรียญ/บาร์เรล
ทั้งนี้ การเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนกลับมาอีกครั้งก่อนที่ในสัปดาห์นี้ ก่อนจะเกิดการเจรจาร่วมกันอีกครั้งของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในช่วงปลายสัปดาห์
อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังหาสัญญาณเพิ่มเติมในการเจรจา หลังจากที่มีรายงานว่า ทางการจีนไม่พอใจที่เรือรบสหรัฐฯเคลื่อนตัวมายังทะเลจีนใต้ และดูเหมือนจะยิ่งกดดันการเจรจาของ 2 ประเทศที่กำลังพยายามผลักดันข้อตกลงทางการค้าให้แล้วเสร็จก่อนกำหนดเส้นตาย 1 มี.ค.นี้ มิเช่นนั้นจีนจะถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มคิดเป็นมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญ โดยคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 10% เป็น 25%
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศได้ส่งผลให้เกิดมูลค่าการเรียกเก็บภาษีระหว่างกันจำนวนมหาศาล และดูเหมือนข้อขัดแย้งทางการค้าจะประทบต่อเม็ดเงินมนภาคธุรกิจ รวมทั้งตลาดการเงินต่างๆด้วย