· ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้นจากระดับอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 3 เดือน โดยเมื่อวานนี้ปิด +0.28% ที่ 1.1297 ดอลลาร์/ยูโร จากความหวังที่จะเห็นความคืบหน้าในการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่ทำให้บรรดาสินทรัพย์เสี่ยงส่วนใหญ่ปรับตัวลง ขณะที่ค่าเงินปอนด์เป็นเพียงสกุลเดียวที่ยังคงอ่อนตัวก่อนที่รัฐสภาอังกฤษจะมีการเปิดอภิปรายกรณีข้อตกลง Brexit
อย่างไรก็ดี ค่าเงินยูโรยังคงมีแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจของเยอรมนีไตรมาสที่ 4/2018 และข้อมูลการชะลอตัวทางเศรษฐกิจอิตาลีที่ยังเป็นปัจจัยลบในขณะนี้
· ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวลงมาที่ 96.978 จุด หลังจากที่เมื่อวานไปทำระดับแข็งค่าระหว่างวันบริเวณ 97.2 จุด
· หัวหน้านักกลยุทธ์ค่าเงิน G10 ประจำสถาบัน CIBC Capital Markets กล่าวว่า หากการขยายตัวทางเศรษฐกิจเยอรมนียังคงเป็นไปเชิงลบก็อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อค่าเงินยูโรได้ แต่เราจำเป็นต้องรอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์การดำเนินนโยบายของทางภาคกลุ่มยานยนต์ในยุโรป เพราะหากมีรายละเอียดใดๆเพิ่มเติมก็จะช่วยหนุนให้ค่าเงินยูโรกลับแข็งค่าได้
· นักวิเคราะห์ในตลาดการเงินบางส่วน ยังคงกังวลว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจกลับมาพุ่งเป้าที่กลุ่มสินค้านำเข้าจากยุโรป หลังจากที่สามารถหาทางแก้ไขปัญหาการค้ากับจีนได้ และนั่นจะนำไปสู่การเรียกเก็บภาษีนำเข้ากลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปตามมาในอีกไม่กี่วัน และนั่นจะส่งผลกระทบอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับทางเยอรมนี เพราะเป็นประเทศที่มีการส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯมากที่สุด
· ข้อมูลการค้าที่แข็งแกร่งจากทางจีนที่มีรายงานว่ายอดส่งออกพุ่งขึ้น 9.1% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ยอดนำเข้าลดลง 1.5% ได้ส่งผลให้ค่าเงินหยวนกลับแข็งค่าขึ้น 0.17% ที่ระดับ 6.7711 หยวน/ดอลลาร์
· รายงานจากบลูมเบิร์ก ระบุว่า นายทรัมป์ กำลังพิจารณาที่จะขยายเวลาต่ออีก 60 วัน จากกำหนดเส้นตายกับทางจีนในวันที่ 1 มี.ค.นี้ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินการหาทางแก้ไขข้อขัดแย้งร่วมกันต่อ
· ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ประกาศออกมาลดลงมากกว่าที่คาด โดยเป็นการปรับร่วงลงที่มากที่สุดในรอบ 9 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วงปลายปีชะลอตัวลงกว่าที่คาด ท่ามกลางผลกระทบของความผันผวนของตลาดการเงินและภาวะ Shutdown ของรัฐบาล
โดยยอดค้าปลีกในเดือน ธ.ค. ปรับลดลง -1.2% จากที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัวได้ 0.1% เทียบกับในเดือน พ.ย.ที่ขยายตัวได้ 0.1% ซึ่งการประกาศตัวเลขยอดค้าปลีกเดือน ธ.ค. ล่าช้าออกไปถึง 4 สัปดาห์ เนื่องจากภาวะShutdown ของรัฐบาล
ภายหลังการประกาศตัวเลข ตลาดหุ้นสหรัฐฯได้ปรับตัวลดลง ขณะที่พันธบัตรปรับสูงขึ้น และดอลลาร์อ่อนค่าลง ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ของตลาดเกือบทุกภาคส่วน ที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจชะลอตัวลงด้วยอัตราที่มากกว่าคาด และอาจกดดันให้เฟดพิจารณาชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายปีนี้ต่อไป ท่ามกลางความเสี่ยงด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการค้า และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า จะทำการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อให้เขาสามารถเรียกงบประมาณก่อสร้างกำแพงชายแดนได้โดยไม่จำเป็นต้องของความเห็นชอบจากสภาคองเกรส ซึ่งการดำเนินดังกล่าวอาจทำให้เกิดความขัดแย้งกันภายในรัฐสภา
สำหรับร่างงบประมาณ นายทรัมป์ยินยอมที่จะให้ความร่วมมือและลงนามในร่างงบประมาณเพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลต้องเข้าสู่ภาวะ Shutdown เป็นครั้งที่ 2 แม้ร่างงบประมาณดังกล่าวจะไม่ได้ให้งบประมาณในการก่อสร้างกำแพงเป็นมูลค่า 5.7 พันล้านเหรียญตามที่เขาเรียกร้องไว้ก็ตาม
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่นายทรัมป์ข่มขู่จะประกาศภาวะฉุกเฉิน บรรดาผู้นำพรรคเดโมแครตในคองเกรสได้ออกมากล่าวประณามนายทรัมป์ พร้อมระบุว่าจะดำเนินการยื่นฟ้องร้อง หากทำการประกาศภาวะฉุกเฉินขึ้นจริง
ขณะที่นายมิทช์ แมคคอนเนล ผู้นำพรรครีพับลิกันในวุฒิสภา ประกาศจะให้การสนับสนุนนายทรัมป์ในการประกาศภาวะฉุกเฉิน แม้ในเดือนที่ผ่านมา นายแมคคอนเนลจะเคยกล่าวเตือนนายทรัมป์ว่า การประกาศภาวะฉุกเฉิน อาจทำให้พรรครีพับลิกันในวุฒิสภาแบ่งออกเป็นสองฝ่ายก็ตาม
· นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประสบความพ่ายแพ้ในการลงมติหาเสียงสนับสนุนแนวทางการดำเนินนโยบาย Brexit ของเธอ ด้วยคะแนนเสียง 303 ต่อ 258 เมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ว่า อำนาจในการดำเนินนโยบาย Brexit ของเธอมีความอ่อนแอมากเพียงใด ในขณะที่เหลือเวลาไม่ถึง 6 สัปดาห์ ก่อนที่อังกฤษจะถอนตัวออกจากอียู
ในขณะที่บรรดาส.ส. ที่ไม่สนับสนุนให้อังกฤษถอนตัวแบบ No-deal เริ่มมีการรวมตัวกัน และจะผลักดันให้มีการลงมติในรัฐสภาอีกครั้งในวันที่ 27 ก.พ. เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐสภาตัดสินใจถอนตัวแบบ No-deal
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับขึ้นต่อเนื่อง 3 วันทำการ ท่ามกลางราคาน้ำมันดิบ Brent ที่ปรับขึ้นไปทำระดับสูงสุดในปีนี้ แต่การปรับขึ้นก็ยังเป็นไปอย่างจำกัดหลังจากที่ข้อมูลยอดค้าปลีกที่ออกมาแย่ที่สุดตั้งแต่ปี 2009 และยิ่งตอกย้ำถึงความกังวลของกลุ่มนักลงทุนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แม้ว่านักลงทุนบางส่วนจะตอบรับกับทิศทางเชิงบวกในการเจรจาการค้าร่วมกันระหว่างสหรัฐฯและจีนก็ตาม
น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 82 เซนต์ ที่ 1.3% บริเวณ 64.43 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 51 เซนต์ คิดเป็น +1% ที่ระดับ 54.33 เหรียญ