โดยมีรายงานความคืบหน้าตลอดช่วง 5 วันแห่งการเจรจาร่วมกันของสหรัฐฯและจีนในกรุงปักกิ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทางทำเนียบขาวยังคงต้องหารือต่อเพื่อผลักดันให้จีนเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวทางทางการค้า โดยที่ทั้งสองฝ่ายจะเจรจากันต่อในกรุงวอชิงตัน สัปดาห์นี้ และทำให้นักลงทุนต่างคาดหวังว่าจะเห็นการยุติข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสองชาติได้
นักวิเคราะห์จาก CMC Markets กล่าวว่า ประเด็นการค้าในขณะนี้ดูจะเป็นเรื่องที่ตลาดให้ความสนใจ โดยจะเห็นได้ว่าจากที่เจรจาในจีนจบและย้ายมาคุยที่สหรัฐฯกันต่อดูจะเห็นนักลงทุนตอบรับกับข่าวมากขึ้น และคาดว่าค่าเงินยูโรจะยังคงถูกกดดันต่อในสัปดาห์นี้ ขณะที่ค่าเงินเยนอาจร่วงลงต่อได้จากการตอบรับของบรรดากลุ่มนักลงทุนที่ตอบรับกับข่าวเชิงลบของการเจรจา
ค่าเงินเยนทรงตัวที่บริเวณ 110.53 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลงต่อ 0.16% ที่ 96.74 จุด และค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้น 0.2% ที่ 1.1317 ดอลลาร์/ยูโร
· ดัชนีดอลลาร์เดือนก.พ.นี้ปรับแข็งค่าขึ้นมาแล้ว 1.2% แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯจะชี้ถึงภาวะอ่อนแอ ประกอบกับเฟดมีท่าทีระมัดระวังการดำเนินนโยบายมากขึ้นจนอาจจะยังคงดอกเบี้ยต่อปีนี้ และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รวมทั้งการอ่อนตัวของเงินเฟ้อ
· ทางด้านค่าเงินยูโรแม้ว่าวันนี้จะปรับแข็งค่าขึ้นมาได้ แต่ก็มีกระแสคาดการณ์ที่ว่าจะเห็นยูโรอ่อนค่าต่อในอีกไม่กี่เดืนอข้างหน้าจากการที่อีซีบีจะยังคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ท่ามกลางภาวะการขยายตัวที่ต่ำลงในยูโรโซน รวมถึงการชะลอตัวของเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางการเมือง
· อย่างไรก็ดี อีซีบีจะมีการประชุมอีกครั้งในวันที่ 7 มี.ค. และคาดว่าน่าจะเห็นอีซีบีปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของยูโรโซนลง ที่ดูจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวลงครั้งใหญ่ในรอบกว่าครึ่งทศวรรษ
ทั้งนี้ จีนกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รวมทั้งผลกระทบจากข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อตลาดรถยนต์ของจีนด้วย
· CEO จาก DBS Group Holdings กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกถูกคาดว่าจะชะลอตัวลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่เศรษฐกิจในเอเชียอาจได้รับอานิสงส์ดีจากหลายๆปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้นโยบายสนับสนุนทางเศรษฐกิจ โดยภาพรวมเศรษฐกิจเอเชียดูจะขยายตัวได้ 5.5-6% ในปีนี้ แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว และหลายๆธนาคารกลางในแถบเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย และออสเตรเลีย มีการปรับมาใช้นโยบายลดอกเบี้ย หรือแสดงความตั้งใจที่จะใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ขณะที่เฟดมีแนวโน้มจะคงดอกเบี้ยและนี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับฝั่งเอเชีย เพราะนั่นหมายถึงจะมีแรงกดดันทางอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินที่ลดน้อยลง
· ประธานบริษัท Partners Financial Holdings กล่าวว่า กลุ่มผู้กำหนดนโยบายการเงินของจีนยังคงจับตาอย่างใกล้ชิดต่อประเด็นการเจรจาทางการค้า เพื่อนำมาพิจารณาความเป็นไปได้ในการลดกระแสเงินสดที่เกิดขึ้น และความเป็นไปได้จากการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนอาจนำมาซึ่งความเชื่อมั่นนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการลงทุนในจีนที่อ่อนตัวลงไป ขณะที่ทุกคนตระหนักดีว่า Trade War ถือเป็นปัญหาที่ยังคงดำนเินอยู่ และไม่คาดว่าทุกอย่างจะก่อความรุนแรงมากกว่านี้
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับลดอุปทานของกลุ่มโอเปก ประเด็นการคว่ำบาตรอิหร่านและเวเนซุเอลาของสหรัฐฯ รวมทั้งความคาดหวังเกี่ยวกับประเด็นการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่อาจจะสิ้นสุดลงเร็วๆนี้
โดยราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 0.6% ที่ระดับ 66.66 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.9% ที่ระดับ 56.07 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งราคาปรับตัวสูงขึ้นทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. ที่บริเวณ 56.13 เหรียญ/บาร์เรล เมื่อช่วงเช้าวันนี้
ข่าวการลดลงของยอดขายรถยนต์ของจีนทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความต้องการใช้เชื้อเพลิงของจีน
ด้านสมาคมอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีน ระบุว่า รถยนต์ประจำเดือนม.ค. ปรับตัวลง 15.8% ที่ระดับ 2.37 ล้านคันเมื่อเทียบเป็นรายปี โดยทำสถิติลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 หลังจากที่ปรับตัวลง 13% ในเดือนธ.ค. และลดลง 14% ในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา
ขณะที่ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ประจำเดือนม.ค.ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้ามียอดจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 140% จึงตอกย้ำคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันจากกลุ่มผู้ใช้เพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า