· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อคืนวันศุกร์ จากกลุ่มนักลงทุนที่กลับหาสินทรัพย์เสี่ยงกว่า หลังจากที่ผู้นำทั้งสองประเทศระหว่างสหรัฐฯและจีน กล่าวว่า ข้อตกลงทางการค้าระหว่างสองประเทศมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น
โดยเมื่อวันศุกร์ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ต่างกล่าวว่า มีความคืบหน้าเกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้าเกิดขึ้น และมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นข้อตกลงระหว่างสองประเทศในอนาคตอันใกล้นี้ ขณะที่นายสีมีการส่งหมายถึงนายทรัมป์ ขณะที่นายทรัมป์เอง ระบุว่า หากมีความคืบหน้าทางการค้ากับจีน เขาก็จะขยายเวลาเจรจาออกไปต่อจากกำหนดเส้นตายในวันที่ 1 มี.ค.นี้ เพื่อให้ทั้งสองประเทศได้สร้างข้อตกลงร่วมกัน
· ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.06% ที่ระดับ 96.54 จุด โดยค่าเงินดอลลาร์ในสัปดาห์ที่ผ่านมาอ่อนค่าลงไปทั้งสิ้น 0.5% หลังจากที่ปรับขึ้นไปกว่า 1%ในสัปดาห์ก่อน
· ค่าเงินยูโรทรงตัวเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนตัวลงนับตั้งแต่ม.ค. โดยยูโรทรงตัวที่ 1.1334 ดอลลาร์/ยูโร แม้ว่าจะมีแรงหนุนจากความหวังที่สหรัฐฯและจีนจะผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างกันได้ และทำให้ค่าเงินยูโรไปทำระดับแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์ก็ตาม
· บรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่า แนวโน้มของค่าเงินยูโรในขณะนี้จะขึ้นอยู่กับปัจจัยการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของยูโรโซนเป็นหลัก ท่ามกลางผลสำรวจภาคธุรกิจล่าสุดที่ส่งสัญญาณอ่อนตัวลงในเดือนก.พ. และถือเป็นการปรับตัวลงต่อเนื่อง 6 เดือนสำหรับประเทศเยอรมนี ซึ่งถือเป็นประเทศเศรษฐกิจหลักของยุโรป
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า จะเลื่อนกำหนดเดดไลน์ในการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนออกไป จากเดิมที่กำหนดไว้ในวันศุกร์นี้เนื่องจากการเจรจาการค้าระหว่างตัวแทนมี “ความคืบหน้าที่ดี”
นอกจากนี้ นายทรัมป์ยังมีแผนที่จะเชิญนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน มายังรัฐฟลอริดา ของสหรัฐฯ เพื่อเจรจาและสรุปข้อตกลงทางการค้าร่วมกัน ในเร็วๆนี้
การเลื่อนขึ้นภาษีออกไป เป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่าการเจรจาระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายจะสามารถประสบความสำเร็จได้ในที่สุด และน่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด เนื่องจากสงครามการค้าที่เป็นปัจจัยกดกันการเติบโตของเศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มกำลังจะจบสิ้นลง
ขณะที่การเจรจาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายสามารถหาข้อตกลงเกี่ยวกับเรื่องของค่าเงินได้ และมีการขยายระยะเวลาของการเจรจาออกไปสู่ช่วงสุดสัปดาห์ โดยล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แหล่งข่าวระบุว่า ตัวแทนของทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงเจรจากันเกี่ยวกับปัญหาหลักของความขัดแย้งทางการค้าที่ยังคงยืดเยื้อ รวมไปถึงเรื่องของภาษี และสินค้าโภคภัณฑ์
· ทีมบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯมีท่าทีเปิดกว้างต่อผลการเจรจาที่อาจจะไม่ใช่ข้อตกลงครั้งใหญ่ จากประชุมระหว่างนายทรัมป์และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ที่จะเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้
โดยยังไม่มีความชัดเจนว่าการทั้งสองฝ่ายมีความประสงค์ที่จะยื่นข้อเสนอระหว่างการเจรจามากเพียงใด ขณะที่เจ้าหน้าที่ทั้งจากสหรัฐฯและเกาหลีใต้ได้ระบุว่า การเจรจาจะมีข้อเรียกร้องให้เกาหลีเหนือเปิดรับการตรวจสอบจากนานาประเทศ ในการปิดโรงงานผลิตนิวเคลียร์ยองบอน รวมถึงยอมให้เปิดสำนักงานประสานงานของสหรัฐฯในพื้นที่เกาหลีเหนือ
· ถ้อยแถลงบรรดาสมาชิกเฟดในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
- นายจอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก แสดงความกังวลของเงินเฟ้อในระยะยาวที่อาจปรับตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ หลังจากที่ปรับขึ้นมาก็ดูจะยังไม่บรรลุเป้าหมาย 2% ที่เฟดกำหนด ขณะที่ข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สำรวจโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกนปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.3% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในข้อมูลมาตรวัดเงินเฟ้อ
- นายริชาร์ด แคลริด้า รองประธานเฟด ระบุว่า เฟดจะยังเปิดกว้างการเริ่มต้นปรับทบทวนกรอบนโยบายการเงินในปีนี้ และอาจเปลี่ยนแปลงผลการดำเนินงานเพื่อให้ดัชนีราคามีเสถียรภาพและการจ้างงานได้อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงกลยุทธ์การดำเนินงาน หรือแม้แต่เครื่องมือของเฟด ซึ่งผลการปรับทบทวนน่าจะเปิดเผยต่อสาธารณชนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020
- นายเจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า เฟดไม่ควรขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ โดยเฟดจะต้องพิจารณาความคืบหน้าทางเศรษฐกิจในปีนี้ก่อนว่าเป็นไปเช่นไร ขณะที่เงินเฟ้อยังอยู่ต่ำกว่าเป้าหมาย และเราไม่จำเป็นต้องเร่งหรือพยายามให้เงินเฟ้อปรับขึ้นมากเกินไป
- นายแรนดัล ควอเลส รองประธานเฟดด้านการกำกับดูแลภาคธนาคาร กล่าวว่า เฟดพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินนโยบายปรับลดงบดุลตามเหมาะสมกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางการจ้างงานที่เต็มรูปแบบ ประกอบกับการจับตาระดับการเคลื่อนไหวของเงินเฟ้อ ซึ่งการปรับลดงบดุลให้เข้าสู่ภาวะปกติอาจไม่สมบูรณ์ในปีนี้
- นางลาเอล เบรนาร์ด สมาชิกบอร์ดบริหารของเฟด กล่าวว่า เฟดควรพัฒนาการจ้างงานของตน ให้เปิดรับผู้หญิงและคนที่มีพื้นหลังเป็นชนกลุ่มน้อยทางสังคมมากขึ้น เพราะว่าความหลากหลายจะนำไปสู่การออกนโยบายที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
· นายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบี มีการกล่าวถ้อยแถลงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยกล่าวถึงประเด็น Brexit ว่าการแยกตัวออกจากอียู แม้จะทำให้อังกฤษมีอิสระในการบริหารประเทศมากขึ้น แต่ก็จะทำให้อังกฤษสูญเสียความเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจ และทำให้อียูสูญเสียอำนาจในการควบคุมเศรษฐกิจโลกให้เป็นไปตามแบบแผน
อียูถูกก่อตั้งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือให้บรรดาประเทศที่ขาดความสามารถ ให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้ผ่านการร่วมมือกันระหว่างบรรดาประเทศสมาชิก และในทางกลับกัน ก็จะช่วยกระตุ้นการส่งออกสินค้าของยูโรโซนยังไปทั่วโลกได้
นอกจากนี้ แม้บางประเทศในอียูจะมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะรับความผันผวนของตลาดหรือมีตัวเลือกในการเจรจาการค้ามากพอ แต่การดำเนินงานในระดับอียูจะช่วยส่งเสริมให้ความสามารถดังกล่าวมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับการแยกกันอยู่
· รายงานจากสำนักข่าว Telegraph ระบุว่า นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กำลังพิจารณาเลื่อนกำหนดการ Brexit ออกไปเป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน
โดยการเลื่อนระยะเวลาของ Brexit ออกไป มีขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้บรรดารัฐมนตรีอังกฤษลาออกจากตำแหน่ง หรือหันไปให้การสนับสนุนแนวคิดแบบNo-deal Brexit ซึ่งการยื่นเรื่องขอขยายระยะเวลา Brexit จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อนางเมย์ไม่สามารถบรรลุข้อตกลง Brexit ร่วมกับอียูได้ก่อนวันที่ 12 มี.ค
· ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นไปทำระดับสูงสุดรอบกว่า 3 เดือนในคืนวันศุกร์ เพราะได้รับแรงหนุนจากความหวังที่ว่าสหรัฐฯและจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันเพื่อยุติสงครามการค้าได้ในเร็ววัน แต่ผลผลิตน้ำมันสหรัฐฯที่พุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ก็ยังเป็นปัจจัยถ่วงการขึ้นของราคาน้ำมันอยู่
ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 30 เซนต์ ที่ระดับ 57.26 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพ.ย. โดยระหว่างวันน้ำมันดิบWTI ไปทำระดับสูงสุดของปีที่ 57.81 เหรียญ/บาร์เรล และภาพรวมสัปดาห์ที่แล้วเป็นการปรับขึ้นได้ 3%
ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับลง 2 เซนต์ ที่ระดับ 67.05 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ไปทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพ.ย. บริเวณ 67.73 เหรียญ/บาร์เรล และภาพรวมสัปดาห์ที่แล้วปิด +1.2%
· บรรดาเหล่าเทรดเดอร์ กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นได้จากสหรัฐฯและจีนที่ดูจะหาทางแก้ไขปัญหาทางการค้าระหว่างกันได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะปัญหาดังกล่าวกำลังเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก