· ตลาดหุ้นยุโรปเปิดปรับตัวขึ้นในวันนี้ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่เฝ้าจับตาการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยที่ดัชนี FTSE100 ปรับขึ้น 15 จุด ที่ระดับ 7,193 จุด ขณะที่ดัชนี DAX30 เปิดปรับขึ้น 40 จุด ที่ระดับ 11,497 จุด ขณะที่ CAC40 ปรับขึ้น 12 จุด ที่ระดับ 5,227 จุด
· ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปิดปรับขึ้นในวันนี้ ท่ามกลางข่าวเจรจาการค้าที่สุดใสหลังนายทรัมป์ประกาศเลื่อนกำหนดเส้นตายออกไปจากวันที่ 1 มี.ค.
โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปรับขึ้น 5.6% ที่ระดับ 2,961.28 จุด ทางด้านเสิ่นเจิ้นคอมโพแนนท์ ปิด +5.587% ที่ 9,134.58 จุด ทางด้านดัชนีเสิ่นเจิ้นคอมโพสิตปิด +5.417% ที่ระดับ 1,557.27 จุด
ทั้งนี้ ดัชนีฮั่งเส็งปิด +0.52% ในชม.สุดท้ายของการซื้อขาย ท่ามกลางหุ้น China Construction Bank ที่ปิด +2.1% และ ZTE ปิด +2.3%
· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดบวกที่ระดับสูงสุดในรอบ 10 สัปดาห์ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า จะทำการเลื่อนเดดไลน์ของการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนออกไป ท่ามกลางการเจรจาที่มีความคืบหน้าที่ดี
โดยดัชนี Nikkei ปิด +0.48% ที่ระดับ 21,528.23 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของวันที่ 13 ธ.ค.
นักวิเคราะห์จาก UBS Securities Japan ระบุว่า ตลาดมีความเชื่อมั่นกลับขึ้นมาจากข่าวดังกล่าว แต่การที่ดัชนีจะปรับขึ้นต่อไปได้นั้น มีค่อนข้างต่ำ เนื่องจากตลาดให้ความหวังไปที่การรายงานผลประกอบการของบริษัทในญี่ปุ่น ขณะที่ผลประกอบการในปีนี้ถูกคาดว่าจะอ่อนแอกว่าปีที่ผ่านมา ดังนั้นการปรับขึ้นของดัชนีน่าจะเป็นไปอย่างจำกัด
· ตลาดหุ้นจีนปิดบวกด้วยอัตราที่มากที่สุดในรอบกว่า 3 ปี หลังประธานาธิบดีสหรัฐฯระบุว่าจะทำการเลื่อนเดดไลน์ของการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนออกไป เนื่องด้วยความคืบหน้าที่ดีจากการเจรจาการค้า
โดยดัชนี Shanghai Composite ปิด +5.6% ที่ระดับ 2,961.28 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของวันที่ 15 มิ.ย. 2018 และเป็นอัตราที่มากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค. 2015
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก BNP Paribas Asset Management ยังมองว่าทิศทางของตลาดจะยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญแต่อย่างใด เนื่องจากข่าวของการขึ้นภาษีและการเจรจาเป็นสาเหตุหลักของความผันผวนในตลาดมาโดยตลอด และตลาดก็ได้ตอบรับกับข่าวครั้งนี้ไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว
· นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.)แถลงผลสำรวจความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมกราคม 2562 พบว่าอยู่ที่ระดับ 93.8 เพิ่มขึ้น จากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 93.2
โดยนายสุพันธุ์กล่าวยอมรับภาค เอกชนมีความกังวลเรื่องการแข็งค่าของเงินบาทที่ลดลงต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญและอาจส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรม โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าที่สุดในภูมิภาคอาเซียน 2.73% เทียบกับอินโดนีเซียแข็งค่า 2.29% เวียดนามแข็งค่า 0.3% ไทยเป็นรองแค่ญี่ปุ่นเท่านั้นที่แข็งค่า 3%
"เรื่องค่าเงินบาทต้องยอมรับว่าเราอึดอัดมาก เพราะเราต้องพึ่งพาการ ส่งออกเป็นรายได้หลักของประเทศ ซึ่งหากปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องโดยไม่ทำอะไร อาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในระยะต่อไปด้วย โดยขณะนี้ภาคเอกชนกำลังติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด หากเงินบาทแข็งค่าหลุด 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ก็คงต้องขอหารือกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แน่นอน"นายสุพันธุ์ กล่าว