ค่าเงินยูโรที่รีบาวน์แข็งค่าขึ้นได้จากระดับต่ำสุดเมื่อเดือน พ.ย. ดูจะเริ่มอ่อนกำลังลงนับตั้งแต่วันพุธสัปดาห์ก่อน และความพยายามปรับตัวขึ้นในสัปดาห์ก่อนก็เผชิญกับแนวต้านที่เป็นกรอบการเคลื่อนไหวเดิมเมื่อเดือน พ.ย. ขณะที่กราฟราย 4 ช.ม. ก็มีสัญญาณที่ค่าเงินจะเข้าสู่ภาวะปรับฐาน
ดังนั้นจึงวิเคราะห์ได้ว่า ค่าเงินยูโร (EURUSD) มีแนวโน้มจะปรับอ่อนค่าลงภายในสัปดาห์นี้ โดยแนวรับแรกมองไว้ที่ $1.1234 ตามมาด้วยระดับต่ำสุดของเดือน พ.ย. ที่ $1.1216 และเมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ จึงมีแนวโน้มที่ค่าเงินจะอ่อนค่าหลุดแนวรับดังกล่าวลงไปมากกว่านี้ โดยไม่มีท่าทีว่าจะรีบาวน์ขึ้นมาได้
· นักวิเคราะห์จาก Commerzbank ระบุว่า ค่าเงิน EUR/USD ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เคลื่อนไหวในกรอบลักษณะ Sideways โดยยังคงยืนเหนือระดับ $1.1216 ที่เป็นระดับต่ำสุดของเดือน พ.ย. และมีแนวโน้มที่จะช่วยหนุนค่าเงินสามารถปรับขึ้นได้ภายในสัปดาห์นี้ แต่ล่าสุด ราคายังคงเคลื่อนไหวแถวระดับ $1.1356 ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ยราย 20 วัน
สำหรับเป้าหมายระยะสั้นของค่าเงิน มองไว้ที่ $1.1513 ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วัน หากยืนเหนือเส้นนี้ได้ จะมีเป้าหมายถัดไปที่ $1.1623 ที่เป็นระดับสูงสุดของเดือน ต.ค. ส่วนเป้าหมายในระยะยาวมองไว้ที่ระดับ $1.1685 ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ยราย 55 สัปดาห์
· นักวิเคราะห์จาก Daiwa Capital Markets ระบุว่า แม้สหรัฐฯและจีนดูมีท่าทีจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกันได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะหยุดลงแต่อย่างใด
เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯถูกคาดการณ์ว่าจะชะลอตัวลงภายในปีนี้ และอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างเร็วที่สุดภายในช่วงกลางปี 2020 และการชะลอตัวนั้นก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น แม้ปัจจัยความเสี่ยงทางการเมืองหรือการค้าจะดีขึ้นมากแต่ไหนก็ตาม และการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฉุดรั้งให้เศรษฐกิจทั่วโลกต่างชะลอตัวลงไปตามกัน
· นักวิเคราะห์จาก Barclays ระบุว่า ปริมาณการปล่อยกู้ของภาคธนาคารและการขยายตัวของเครดิตในประเทศจีนได้ปรับสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเดือน ซึ่งบ่งชี้ว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐกำลังส่งผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นต่อเศรษฐกิจ
พร้อมวิเคราะห์ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน น่าจะทำ Bottom out หรือลงไปทำระดับต่ำสุด ภายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2019 และเศรษฐกิจจะเริ่มกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งภายในไตรมาสที่ 2 ขณะที่คาดว่าภาครัฐก็จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีก แม้ว่าทางภาครัฐจะได้ออกมาระบุว่า จะไม่ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้สูญเสียการควบคุม
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า เขาจะพยายามผลักดันให้เกิดข้อตกลงทางการค้าร่วมกับจีนที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย พร้อมคาดหวังว่าจะมีข่าวดีครั้งใหญ่ “ภายใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า” หากการเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่น
โดยคำกล่าวของนายทรัมป์ครั้งล่าสุดนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากเขาประกาศว่าจะทำการเลื่อนเดดไลน์ของการขึ้นภาษีออกไปจากเดิมที่มีกำหนดไว้ในวันที่ 1 มี.ค. ที่จะถึงนี้
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีการทวิตเตอร์ข้อความล่าสุดว่า การเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนมีความคืบหน้ามากยิ่งขึ้น ประกอบไปด้วยเรื่องของการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา, การถ่ายโอนข้อมูลเทคโนโลยี, สินค้าเกษตรกรรม, ภาคบริการ และค่าเงิน
อย่างไรก็ดี นายทรัมป์ ยังไม่ได้กำหนดเส้นตายรอบใหม่เพื่อหาข้อสรุปจากการเจรจา แต่เจ้าหน้าที่จากทางทำเนียบขาว ระบุว่า ใกล้จะเกิดขข่าวดีครั้งใหญ่ในอีก 1 หรือ 2 สัปดาห์จากนี้ หากการเจรจายังดำเนินไปได้ด้วยดี
สำนักข่าว Xinhua ของจีน ระบุว่า เป้าหมายการเจรจาทางการค้าระหว่างสองประเทศค่อนข้างใกล้เข้ามาทุกขณะ แต่ก็กล่าวเตือนว่า การเจรจาอาจได้รับความยากลำบากในการปรับให้เหมาะสมร่วมกันในขั้นตอนสุดท้าย
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเดินทางถึงประเทศเวียดนามภายในวันอังคารนี้ เพื่อเตรียมตัวสำหรับการประชุมสุดยอดร่วมกับนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ที่จะจัดขึ้นในวันพุธและวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่ยังคงไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการประชุมเปิดเผยออกมาแต่อย่างใด
· นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศเลื่อนการโหวตลงมตินโยบาย Brexit ภายในรัฐสภาครั้งสำคัญ จากเดิมทีมีกำหนดการจะลงมติในสัปดาห์นี้ ไปเป็นวันที่ 12 มี.ค. ซึ่งจะเป็นวันที่เหลือเวลาอีกเพียง 17 วันก่อนที่อังกฤษจะถอนตัวออกจากอียู ขณะที่นางเมย์ได้กล่าวว่าการเจรจาข้อตกลงBrexit ร่วมกับอียู มีความคืบหน้าอย่างดี และข้อตกลงก็อยู่เพียง “แค่เอื้อม”
อย่างไรก็ตาม นายเจเรมี โคบลิน หัวหน้าฝ่ายค้านในรัฐสภาอังกฤษ ได้กล่าวประนามการดำเนินการดังกล่าวของนางเมย์ ว่าเป็ยการพยายามกดดันให้ ส.ส. ยอมรับข้อตกลง Brexit ด้วยเวลาที่ถูกบีบเข้ามาอย่างประมาทเลินเล่อ
ทางด้านอียู นายฌ็อง คล็อด จุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการอียู ก็ได้ออกแสดงความไม่พึงพอใจต่อนางเมย์ ที่ไม่ยอมผลักดันให้แผน Brexit เดินหน้าต่อไปตามที่เคยตกลงเอาไว้
ขณะที่เกิดกระแสคาดการณ์มากขึ้น ว่าอังกฤษอาจพิจารณาขยายระยะเวลาของการ Brexit ออกไปเป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน แม้ว่าสมาชิกในรัฐสภาอังกฤษบางส่วนอาจไม่เห็นด้วยกับการขยายระยะเวลาก็ตาม
· ความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรปจากกรณี Brexit ยังคงมีและสั่นคลอนตลาดอยู่ หลังจากมีข่าวว่า นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษเลื่อนการลงมติ Brexit ในรัฐสภาออกไป โดยถูกคาดว่าจะเลื่อนไปในวันที่ 12 มี.ค. ขณะที่กำหนดการออกจากยุโรปในปัจจุบันอยู่ที่ 29 มี.ค.
ทางด้านบรรดาผู้นำยุโรปมีกำหนดการเดินทางเยือนอียิปต์ ในการประชุมร่วมกับแถบประเทศอาหรับ โดยตลาดให้ความสนใจไปยังการหารือถึงกลุ่มผู้อพยพ
· ราคาน้ำมันปรับตัวลง ท่ามกลางแรงกดดันจากปริมาณการส่งออกน้ำมันของสหรัฐฯที่ยังคงอยู่ในระดับสูง รวมกับการส่งออกน้ำมันของผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางเข้าสู่ตลาดเอเชีย
ขณะที่ตลาดมีแรงหนุนเข้ามาบางส่วนจากข่าวดีที่ว่า สหรัฐฯและจีนมีแนวโน้มที่จะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกันได้ในเร็วๆนี้
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับลดลง 12 เซนต์ หรือ -0.2% ที่บริเวณ 67 เหรียญ/บาร์เรล ค่อนข้างทรงตัวจากระดับสูงสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 67.73 เหรียญ/บาร์เรล
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 6 เซนต์ หรือ -0.1% บริเวณ 57.20 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากเมื่อวันศุกร์ปรับสูงขึ้นได้ 0.5% ทำระดับสูงสุดที่ 57.81 เหรียญ/บาร์เรล