โดยค่าเงินสวิสฟรังก์ปรับแข็งค่า 0.3% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์และเงินยูโร ที่บริเวณ 0.9979 ฟรังก์/ดอลลาร์ และ 1.1350 ฟรังก์/ยูโร
ขณะที่ค่าเงินเยนปรับแข็งค่า 0.2% ที่บริเวณ 110.78 เยน/ดอลลาร์
· ด้านดัชนีดอลลาร์ค่อนข้างทรงตัวที่บริเวณ 96.04 จุด โดยยังมีแรงหนุนจากความไม่แน่นอนของการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน
· ด้านค่าเงินยูโรทรงตัวบริเวณ 1.1381 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเรียปรับอ่อนค่า 0.1% บริเวณ 0.7135 ดอลลาร์
· ค่าเงินปอนด์ปรับอ่อนค่าลง 0.1% บริเวณ 1.3295 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากปรับแข็งค่าขึ้นไปทำระดับสูงสุดเมื่อคืนนี้ที่ 1.3351 ดอลลาร์/ปอนด์ ปิดตลาดเมื่อคืนในแดนบวกเกือบ 0.5% และเคลื่อนไหวเหนือเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วัน
· ค่าเงินเยนทรงตัวหลังไปทำระดับแข็งค่าครั้งใหม่ในรอบวันที่ 111.02 เยน/ดอลลาร์ แต่แรงเทขายก็ยังคงมีเข้ามาหากราคากลับไปยืนเหนือ 111 เยน/ดอลลาร์ ทางด้าน S&P500 กลับสู่แดนลบอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ระดับการซื้อขายของเงินเยนยังอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย MA ราย 5 วัน บริเวณ 110.35 เยน/ดอลลาร์ได้ โดยยังได้รับอานิสงส์จากการร่วงลงของตลาดหุ้นที่ตอบรับข้อมูลการค้าสหรัฐฯที่ออกมาแย่
· รายงานจากทำเนียบขาวระบุว่า โปรแกรมการประชุมร่วมกันระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ที่จัดขึ้นในวันนี้ ได้เปลี่ยนแปลงไป และจะจบลงเร็วกว่ากำหนดเดิม 30 นาที โดยที่ผู้นำทั้งสองจบการประชุมโดยที่ไม่สามารถหาข้อตกลงเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือได้
· Goldman Sachs ปรับคาดการณ์โอกาสเกิดกรณี “No-deal” Brexit ลงสู่ระดับ 10% จากเดิม 15% ตามบรรดาธนาคารรายใหญ่และกองทุนในสหรัฐฯ ขณะที่มองโอกาสที่เดดไลน์ของ Brexit จะถูกขยายออกไปที่ 55% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 50% และคงคาดการร์โอกาสที่จะไม่เกิด Brexit ไว้ที่ 35%
ทางด้านนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เมื่อคืนนี้ ได้รับความร่วมมือจากฝ่ายที่ไม่สนับสุน No-deal Brexit ในรัฐสภาอังกฤษ โดยจะชะลอการกดดันนางเมย์ออกไปเป็นเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากที่นางเมย์ตกลงที่จะพิจารณาถึงโอกาสจะขยายระยะเวลาของ Brexit ออกไป
· สำนักงานตัวแทนการค้าแห่งสหรัฐฯ ประกาศอย่างเป็นทางการว่า รัฐบาลจะเลื่อนการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนออกไป “จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม” สอดคล้องกับคำสั่งของประธานาธิบดีที่ระบุว่าจะเลื่อนการขึ้นภาษีออกไป เนื่องด้วยความคืบหน้าของการเจาจาทางการค้า
· เศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวในไตรมาสที่ 4/2018 โดยถูกกดดันลงจากค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคที่อ่อนแอและยอดส่งออกที่ชะลอตัว จึงอาจทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลที่ 3% เล็กน้อย
โดยข้อมูล GDP สหรัฐฯจะถูกเปิดเผยภายในคืนนี้ เวลาประมาณ 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวชี้วัดว่า นโยบายเศรษฐกิจต่างๆของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการ การปรับลดภาษี การเพิ่มใช้จ่ายของภาครัฐ และการเจรจาการค้าต่างๆ จะได้ผลจริงอย่างที่เขาคาดหวังไว้หรือไม่
ทั้งนี้โดยแบบสำรวจของ Reuters คาดการณ์ว่า ยอด GDP สหรัฐฯจะขยายตัว 2.3% ในไตรมาสที่ 4/2018 หลังจากในไตรมาสที่ 3/2018 สามารถขยายตัวได้ 3.4% แต่การคาดการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นก่อนการประกาศตัวเลขยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ และตัวเลขอื่นๆที่ออกมาอ่อนแอในช่วงก่อนหน้านี้ จึงอาจทำให้ตัวจริงประกาศออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
การประกาศตัวเลข GDP สหรัฐฯถูกชะลอออกไป เนื่องจากภาวะ Shutdown ของสหรัฐฯ ที่กินเวลาถึง 35 วัน
ขณะที่เฟดสาขาแอตแลนต้า คาดการณ์ว่ายอด GDP สหรัฐฯขะขยายตัวได้ 1.8% ในไตรมาสที่ 4/2019 ซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอตัวมากที่สุดในรอบ 2 ปี พร้อมคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะขยายตัวได้ 2.9% ตลอดปี 2018 ซึ่งจะเป็นภาพรวมที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2015 และดีกว่าภาพรวมของปี 2017 ที่ขยายตัวได้ 2.2%
· ทางด้านนายทรัมป์ได้ออกมาระบุว่า ตนเป็นผู้ตัดสินใจจบการประชุมร่วมกับนายคิมเร็วกว่ากำหนด เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันเกี่ยวกับการคว่ำบาตร จึงมองว่าไม่เหมาะสมที่จะร่วมลงนามในข้อตกลงใดๆ แม้การประชุมครั้งนี้จะมีความคืบหน้าที่ดี และทั้งสองผู้นำก็มีโอกาสจะกลายเป็นมิตรที่ดีต่อกันได้ในอนาคต ส่วนโอกาสที่จะเกิดการประชุมครั้งที่สามขึ้น นายทรัมป์ระบุว่ายังไม่มีแผนการดำเนินงานใดๆ ณ ขณะนี้
· นอกจากนี้ นายทรัมป์คาดหวังว่าจะมี “ข่าวดี” เกี่ยวกับเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานในเร็วๆนี้ หลังจากที่ทั้งสองประเทศได้โจมตีและทำลายเครื่องบินรบของแต่ละฝ่าย และทางปากีสถานได้มีการจับกุมตัวนักบินของอินเดียเอาไว้
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง ท่ามกลางยอดการผลิตจีนและญี่ปุ่นที่ออกมาอ่อนแอ รวมทั้งสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าตลาดยังคงได้รับแรงหนุนจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 0.5% ที่ระดับ 66.04 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 0.3% ที่ระดับ 56.78 เหรียญ/บาร์เรล