· ตลาดหุ้นยุโรปปิดผสมผสานกัน ท่ามกลางข่าวภาวะตึงเครียดทางการเมืองที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยดัชนี Stoxx 600 ปิด +0.12%
ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปิดปรับตัวลง แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ออกมาแข็งแกร่ง ขณะที่การเจรจาระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯและผู้นำเกาหลีเหนือไร้ซึ่งข้อตกลงใดๆ
· ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลง 69.16 จุด ที่ระดับ 25,916 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดปรับตัวลงไปเกือบ 0.3% ที่ระดับ 2,784.49 จุด และดัชนี Nasdaq ปิด -0.3% ที่ระดับ 7,532.53 จุด
ข้อมูลจีดีพีสหรัฐฯขยายตัวได้ 2.6% ในไตรมาสที่ 4/2018
· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นและออสเตรเลียปรับตัวสูงขึ้น หลังจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯแสดงให้เห็นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสสี่แข็งแกร่งกว่าที่คาด โดยดัชนี Nikkei เพิ่มขึ้น 0.9% และดัชนี Topix เพิ่มขึ้น 0.56% ขณะที่ดัชนี ASX200 ของออสเตรเลียเพิ่มขึ้น 0.53% ท่ามกลางเหล่านักลงทุนที่รอคอยการประกาศข้อมูลภาคการผลิตจีนในวันนี้
· นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ระหว่าง 31.40-31.50 บาท/ดอลลาร์ โดยระบุว่า ค่าเงินบาทถูกเทขายออกมา จากประเด็นความกังวลปัจจัยภายนอก ทั้งเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯที่ยังมีความไม่แน่นอน ความกังวลสถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีเหนือ หลังการประชุมสุดยอดครั้งที่สองผู้นำได้สิ้นสุดลงแบบไร้ข้อตกลงใดๆ รวมทั้งผู้ว่า ธปท.พูดถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทย
· ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนม.ค.62 ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนจากอุปสงค์ในประเทศเป็นสำคัญ ท่ามกลางการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องในทุกหมวดการใช้จ่าย โดยขยายตัวจากหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์และยอดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างและการใช้จ่ายภาครัฐกลับมาขยายตัวจากทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้อาจจะเติบโตชะลอลงจากปีก่อน เนื่องจากปัจจัยต่างประเทศมีเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ ธปท.ได้ประเมินไว้ โดยในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งต่อไปใน เดือน มี.ค.62 จะนำปัจจัยต่างๆ มาพิจารณาทบทวนประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้อีกครั้งเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ กนง.จะประเมินสถานการณ์เป็นระยะ