· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นทำระดับแข็งค่ามากที่สุดรอบ 10 สัปดาห์เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน ท่ามกลางความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งมุมมองการขยายตัวของประเทศเศรษฐกิจที่ดูจะสดใสขึ้น ประกอบกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ดูจะตกลงกันได้
ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.36% ที่ระดับ 96.51 จุด โดยตลาดยังตอบรับกับข้อมูลจีดีพีสหรัฐฯที่สะท้อนถึงการขยายตัวได้เกินคาดแตะระดับ 2.6% ในไตรมาสที่ 4/2018
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปีปรับขึ้นได้เกือบ 10 จุดในสัปดาห์นี้ และภาพรวมรายสัปดาห์ปรับข้นได้มากที่สุดในรอบ 4 เดือน โดยไปแตะระดับสูงสุดรอบ 4 เดือนที่ 2.759% ในคืนวันศุกร์
ขณะที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าอีก 0.52% ที่ระดับ 111.95 เยน/ดอลลาร์ หลังจากไปทำระดับแข็งค่ามากที่สุดรอบ 10 สัปดาห์ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าที่สุดตั้งแต่ 11 ก.พ.
ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลง 0.55% ที่ 1.3192 ดอลลาร์/ปอนด์ และค่าเงินยูโรร่วงลง 0.1% ที่ระดับ 1.1359 ดอลลาร์/ยูโร
· รายงานจาก The Wall Street Journal ระบุว่า สหรัฐฯอาจมีการยกเลิกภาษีสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมดในการประชุมสุดยอดผู้นำระหว่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เพื่อลงนามข้อตกลงการค้าที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงปลายเดือนนี้
รายงานดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ นายทรัมป์ ได้กล่าวในคืนวันศุกร์ ว่า เขาได้เรียกร้องให้จีนทำการยกเลิกการขึ้นภาษีสินค้าจำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯทั้งหมด เนื่องจาก Trade War มีความคืบหน้าไปในทิศทางที่ดี ขณะที่เขายังคงประกาศเลื่อนแผนการขึ้นภาษี 25% ต่อสินค้าจีน
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังกล่าววิพากษ์วิจารณ์การดำเนินนโยบายการเงินของเฟด และการแข็งค่ามากเกินไปของค่าเงินดอลลาร์ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯในขณะนี้ขยายตัวได้มากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่การดำเนินการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอาจทำให้เศรษฐกิจต้องประสบความยากลำบากที่จะประสบความสำเร็จ ซึ่งทรัมป์ยังคงต้องการให้เฟดใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินมากกว่า และต้องการเห็นค่าเงินดอลลาณ์อ่อนค่า
ขณะที่ประเด็นเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ นายทรัมป์ กล่าวว่า เกาหลีเหนือจะไม่มีอนาคตทางเศรษฐกิจ หากยังคงพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ต่อไป ขณะเดียวกัน เขาก็ยืนยันว่าสหรัฐฯและเกาหลีใต้เห็นพ้องที่จะยุติการร่วมฝึกซ้อมรบในฤดูใบผลิ
· รัฐมนตรีกระทรวงการค้าแห่งอังกฤษ ระบุว่า เป็นไปไม่ได้ที่อียูจะยอมขยายระยะเวลา Brexit ให้กับอังกฤษเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากอียูกำลังจะมีการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม ยังเป็นไปได้ที่อียูจะยอมเจรจาภายใต้มาตรา 50 ร่วมกับอังกฤษอีกครั้ง เพื่อให้กระบวนการถอนตัวของอังกฤษเป็นไปอย่างราบรื่น
· นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะเปิดเผยแผนงบประมาณสนับสนุนเศรษฐกิจสำหรับเขตที่สนับสนุน Brexit โดยเฉพาะทางภาคเหนือของประเทศ เป็นมูลค่า 1.6 พันล้านเหรียญ ภายในวันจันทร์นี้ ซึ่งน่าจะเป็นความพยายามเรียกเสียงสนับสนุนนโยบาย Brexit ของเธอจากบรรดา ส.ส. ที่เป็นตัวแทนของเขตนั้นๆ
· นายกรัฐมนตรีไอร์แลนด์ กล่าวว่า การเลื่อน Brexit ออกไปจากวันที่ 29 มี.ค. มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นได้ค่อนข้างมาก
· รายงานภาคธุรกิจของอังกฤษสะท้อนถึงการชะลอตัวลงมากที่สุดในรอบเกือบ 6 ปี ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการจะออกจาก Brexit แบบ No-deal และกำแพงทางการค้า และภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเดือนก.พ.ออกมาที่ระดับ -3 จุด จากระดับ 0 ในเดือนม.ค.
· คณะกรรมการด้านตุลาการในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เตรียมเรียกเก็บเอกสารจากบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้องกว่า 60 ราย เพื่อเริ่มต้นกระบวนสืบสวนข้อต้องสงสัยว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีการใช้อำนาจในทางทุจริตและขัดขวางกระบวนการยุติธรรม
สำหรับหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่านายทรัมป์ใช้อำนาจในการขัดขวางกระบวนการยุติธรร คณะกรรมการระบุว่าคือกรณีที่นายทรัมป์สั่งปลดนายเจมส์ โคมีย์ อดีตผู้อำนวย FBI เมื่อปี 2017 ซึ่ง ณ ตอนนั้นนายโคมีย์กำลังสืบสวนกรณีการแทรกแซงการเลือกตั้งปี 2016
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับลงกว่า 2% ในคืนวันศุกร์ ตอบรับกับข้อมูลการผลิตสหรัฐฯที่จุดประกายความกังวลต่อการขยายตัวของอุปสงค์พลังงานทั่วโลก หลังดัชนี ISM Manufacturing Index เดือนก.พ. ของสหรัฐฯออกมาย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่พ.ย. ปี 2016 รวมทั้งออกมาแย่กว่าที่คาดด้วย แตะระดับ 54.2 จุด จากเดิมที่ 56.6 จุด
ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับตัวลง 1.42 เหรียญ คิดเป็น -2.5% ที่ระดับ 55.8 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ช่วงต้นตลาดไปทำระดับสูงสุดบริเวณ 57.88 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับลง 1.32 เหรียญ ที่ระดับ 64.99 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ช่วงเช้าไปทำระดับสูงสุดที่ 67.14 เหรียญ/บาร์เรล
· ขณะที่เช้านี้ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นหลังจากมีรายงานว่าสหรัฐฯและจีนใกล้ลงนามข้อตกลงร่วมกันเพื่อยุติปัญหาสงครามการค้า และทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยน้ำมันดิบ WTI เช้านี้ขยับขึ้น 25 เซนต์ หรือ +0.5% ที่ระดับ 56.05 เหรียญ/บาร์เรล และน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 18 เซนต์ คิดเป็น +0.3% ที่ระดับ 65.25 เหรียญ/บาร์เรล