· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับตัวลงติดต่อกัน 5 วันทำการหลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯเผยข้อมูลจ้างงานออกมาแย่อย่ามาก จึงยิ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัว
ดัชนีดาวโจนส์ปิด -22.99 จุด ที่ระดับ 25,450.24 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิด -0.2% ที่ระดับ 2,743.07 จุด และดัชนี Nasdaq ปิด -0.2% ที่ระดับ 7,408.14 จุด
· ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐฯ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ตอบรับกับข่าวการกระตุ้นเศรษฐกิจในยูโรโซน โดยดัชนี Stoxx 600 ปิด -0.78%
ขณะที่ความเชื่อมั่นในตลาดอ่อนแอลงไปตามข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่ออกมาแย่กว่าที่คาด โดยยอดส่งออกปรับตัวลงไปกว่า 20.7% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบกับปีก่อน จึงก่อให้เกิดคำถามขึ้นมาเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และถือเป็นปัจจัยหลักของเศรษฐกิจโลก
ด้านค่าเงินปอนด์ปรับอ่อนค่าลงไปทำระดับต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์ จากการที่อียูและอังกฤษ ที่ยังไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ แม้จะเหลือเวลาเพียง 3 สัปดาห์ในการ Brexit ก็ตาม
· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผสมผสานกันในเช้าวันนี้ แม้ว่าจะมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลงก็ตาม หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯและจีนในสัปดาห์ที่แล้วยังคงออกมาแย่กว่าที่คาด
ดัชนีนิกเกอิเปิด +0.36% ขณะที่ Topix เปิด +0.41% ทางด้านดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เปิด +0.19% และดัชนี ASX200 เปิด -0.24%
· นักบริหารการเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ไว้ที่ระหว่าง 31.60-32.00 บาท/ดอลลาร์ฯ โดยต้องจับตากระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายของนักลงทุนต่างชาติ และปัจจัยการเมืองในประเทศ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ การพิจารณาข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ความคืบหน้าของการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญระหว่างสัปดาห์ ได้แก่ ยอดค้าปลีก ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิสู่ตลาดการเงินสหรัฐฯ เดือนม.ค. ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคานำเข้า-ส่งออก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ. ผลสำรวจกิจกรรมภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์ก และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.