· ค่าเงินดอลลาร์เริ่มชะลอการอ่อนค่าลง หลังจากเมื่อคืนที่อ่อนค่าลงอย่างหนักจากการที่เฟดปรับคาดการร์ว่าจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการดำเนินนโยบายขึ้นดอกเบี้ยเฟดมากว่า 3 ปีอาจจะจบลงเร็วกว่าที่คาด
โดยค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินเยน เคลื่อนไหวบริเวณ 110.47 เยน/ดอลลาร์ หลังจากที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงถึง 0.6% เมื่อคืนนี้ ขณะที่ค่าเงินยูโรทำระดับสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ล่าสุดเคลื่อนไหวแถว 1.1424 ดอลลาร์/ยูโร ห่างจากระดับต่ำสุดเมื่อไม่นานมานี้ที่ 1.1177 ดอลลาร์/ยูโร ได้อย่างมาก
ด้านดัชนีดอลลาร์เคลื่อนไหวแถว 95.908 จุด หลังจากที่อ่อนค่าลง 0.5% เมื่อคืน เคลื่อนไหวใกล้เส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วัน โดยหากหลุดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว จะทำให้ภาพรวมทางเทคนิคของดัชนีเข้าสู่ทิศทางขาลง
· นักวิเคราะห์จาก Westpac ระบุว่า แม้ตลาดจะมีคาดการณ์เกี่ยวกับการคงอัตราดอกเบี้ยและแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลอดปี 2019 ของเฟดเอาไว้เป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่เนื่องจากเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกบอร์ดบริหารของเฟดทั้ง 11 เสียงจากทั้งหมด 17 เสียง เห็นด้วยกับแนวโน้มที่จะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อเทียบกับในเดือน ธ.ค. ที่มีเพียง 2 เสียงเท่านั้นที่เห็นด้วยกับการไม่ขึ้นดอกเบี้ย
· ทางด้านค่าเงินปอนด์ยังคงเคลื่อนไหวสวนทางกับค่าเงินอื่นๆ เนื่องด้วยปัญหาภายในประเทศ โดยล่าสุดอ่อนค่าลงไปที่บริเวณ 1.3205 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังนายกรัฐมนตรีอังกฤษเผชิญเสียงต่อต้านจากสมาชิกอียูบางส่วน เกี่ยวกับข้อเรียกร้องขอขยายระยะเวลา Brexit ออกไปสู่วันที่ 30 มิ.ย.
· จากกราฟค่าเงิน EUR/USD รายวัน จะเห็นได้ว่าค่าเงินในระยะยาวเคลื่อนไหวอยู่ในทิศทางขาลง ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วัน แต่หลังจากที่ดอลลาร์ถูกเทขายเมื่อคืนนี้หลังจากการประชุมเฟดที่ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินกว่าที่คาด ค่าเงินยูโรจึงแข็งค่าขึ้นและเข้าสู่ทิศทางขาขึ้นในระยะสั้นๆ
สำหรับระยะสั้น ค่าเงินเริ่มทดสอบแนวต้านแรกที่ 1.1450 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งถือเป็นแนวต้านสำคัญ ขณะที่แนวต้านถัดไปอยู่ที่ 1.1500 ดอลลาร์/ยูโร
ในทางกลับกัน ค่าเงินจะมีแนวรับที่ 1.1400 และ 1.1370 ดอลลาร์/ยูโร
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่า นโยบายขึ้นภาษีสินค้าจากจีนจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าทางจีนจะสามารถดำเนินการตามข้อตกลงการค้าที่แม้จะยังอยู่ในระหว่างการเจรจาได้ทั้งหมด
· ถ้อยแถลงของนายทรัมป์ได้ขัดแย้งกับรายงานข่าวที่ว่า การเจรจาของทั้งสหรัฐฯและจีนใกล้ที่จะสามารถบรรลุผลและทางจีนก็แสดงความมุ่งมุ่นที่จะดำเนินการตามข้อตกลง ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจะกลับมาเจรจากันอีกครั้งในสัปดาห์หน้า โดยนายสตีเฟน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการค้าของจีน และนายโรเบิร์ต ไลธ์ไทเซอร์ ตัวแทนค้าของสหรัฐฯ จะเป็นฝ่ายเดินทางไปร่วมการเจรจา ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
บรรดาประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องของสหรัฐฯที่ให้หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์สื่อสารของ Huawei โดยเยอรมนี ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรสำคัญ ได้ประกาศว่าจะยังคงรายชื่ออุปกรณ์สื่อสารของ Huawei ไว้ในรายการโครงสร้างพื้นฐานต่อไป
ขณะที่นางอังเกล่า แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ได้เคยประกาศเมื่อต้นเดือน มี.ค. ว่าเยอรมนีจะเป็นผู้กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วยตัวเอง
ทั้งนี้ สหรัฐฯได้กล่าวหาว่า Huawei มีการใช้อุปกรณ์สื่อสารของตนสำหรับการลักลอบนำข้อมูลที่เป็นความลับของผู้ใช้ให้กับรัฐบาลจีน ซึ่งทาง Huawei ก็ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญก็ไม่ปักใจเชื่อ Huawei เนื่องจากกฏหมายด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของจีนได้กำหนดไว้ว่า บรรดาผู้ประกอบในประเทศจีนต้องปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด ซึ่งนั่นรวมไปถึงการขอข้อมูลต่างๆด้วย
นอกเหนือจากเยอรมนีที่ยังมีการใช้งานอุปกรณ์ของ Huawei แล้ว ยังมีประเทศพันธมิตรอื่นๆ อย่าง อังกฤษ อิตาลี รวมถึงประเทศไทยด้วย
· รายงานจากสำนักข่าว Asahi Shimbun ของญี่ปุ่นระบุว่า นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น มีกำหนดการจะเดินทางเยือนสหรัฐฯภายในช่วงปลายเดือน เม.ย. เพื่อพบกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และเจรจาภายใต้หัวข้อเกี่ยวกับเกาหลีเหนือและการค้าระหว่างสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น โดยยังไม่ได้ระบุวันที่ที่แน่นอนแต่อย่างใด
· CEO ของ UBS กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในไตรมาสที่ 1/2019 มีภาวะที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ท่ามกลางปัญหาจากเศรษฐกิจระดับมหภาค และจากความไม่แน่นอนทางการเมือง อีกทั้งเศรษฐกิจยังขาดแรงหนุนตามฤดูกาลผิดกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนๆอีกด้วย พร้อมคาดการณ์ว่าผลประกอบการของ UBS จะอ่อนแอลงมากถึง 1 ใน 3 ของปีก่อน
· รัฐมนตรีกระทรวง Brexit ชั้นผู้น้อยแห่งอังกฤษ ระบุว่า นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ดูมีแนวโน้มที่จะเรียกเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาอังกฤษเกี่ยวกับข้อตกลง Brexit ได้เพียงพอภายในสัปดาห์หน้า
ขณะที่ ส.ส. พรรคอนุรักษนิยมของอังกฤษ ได้ออกมากล่าวว่า รัฐสภาควรได้รับโอกาสและเวลาเพื่อหาทางเลือกที่จะทำให้อังกฤษสามารถถอนตัวออกจากอียูได้โดยได้รับผลกระทบน้อยที่สุด หากนางเมย์ไม่สามารถเรียกเสียงสนันสนุนได้เพียงพอในสัปดาห์หน้า
· ในกราฟราคาน้ำมัน WTI รายวัน จะเห็นได้ว่าราคาได้ยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยราย 50 และ 100 วัน ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มในทิศทางขาขึ้น โดย FX Street มองแนวต้านของราคาวันนี้ไว้ที่ 60.20 เหรียญ/บาร์เรล ตามมาด้วย 60.60 และ 61.00 เหรียญบาร์เรล
ในทางกลับกัน มองแนวรับของน้ำมันไว้ที่ระดับ 59.30 และ 59.00 เหรียญ/บาร์เรล
· ราคาน้ำมันปรับตัวลงเล็กน้อยจากระดับสูงสุดของปี 2019 แต่ตลาดยังคงมีแรงหนุนที่แข็งแกร่งจากภาวะอุปทานที่ตึงตัว ท่ามกลางการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก ประกอบกับมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันอิหร่านและเวเนซุเอลาของสหรัฐฯ
โดยราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 0.2% บริเวณ 60.11 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากราคาได้ทำระดับสูงสุดของปี 2019 ที่ 60.33 เหรียญ/บาร์เรล เมื่อช่วงต้นตลาด
ส่วนราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับลดลงมาบริเวณ 68.54 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากราคาได้ทำระดับสูงสุดที่ 68.69 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของวันที่ 13 พ.ย. เมื่อช่วงต้นตลาด
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันได้ปรับสูงขึ้นมาเกือบ 1 ใน 3 นับตั้งแต่เริ่มต้นปี 2019 ท่ามกลางแรงหนุนจากมาตรการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก และการออกมาตรการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของอิหร่านและเวเนซุเอลาโดยสหรัฐฯ