· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นแม้ว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดจะยังมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอยู่ โดยดัชนีดาวโจนส์เมื่อวานนี้ปรับขึ้นได้ 140.9 จุด ที่ 25,657.73 จุด หลังจากที่ช่วงต้นตลาดพุ่งขึ้น 279.46 จุด ทางด้านดัชนี S&P500 ปิด +0.7% ที่ระดับ 2,818.46 จุด และดัชนี Nasdaq ปิด +0.7% ที่ระดับ 7,691.52 จุด
· ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวเริ่มถูกบดบังจากนักลงทุนที่ตอบรับกับข่าวรายงานผลประกอบการแทน โดยดัชนี Stoxx 600 ปิด +0.8%
· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยดัชนีนิกเกอิเปิด -0.58% ขณะที่ดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เปิด -0.57%
· นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.60-31.70 บาท/ดอลลาร์ แนะนำให้จับตาการเมืองในประเทศ เรื่องการจัดตั้งรัฐบาลที่ยังไม่มีความชัดเจน, Brexit และการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
· สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ประจำเดือน ก.พ.62 อยู่ที่ 105.24 ปรับลดลง 1.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) และลดลง 2.91% จากเดือนก่อนหน้า (MOM) โดยได้รับผลกระทบจากการหยุดผลิตเพื่อซ่อมบำรุงเครื่องจักรที่ชำรุดของอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐานของผู้ผลิตบางรายที่ลดการผลิตลงกว่า 14.4%
· ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปข้อมูลสินเชื่อ เงินฝาก และสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ไทย 14 แห่ง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์
· 2562 พบว่า ภาพรวมสินเชื่อสุทธิในเดือน ก.พ.62 กลับมาเร่งตัวขึ้นจากแรงหนุนของสินเชื่อรายย่อยหลัก ทั้งสินเชื่อบ้าน และสินเชื่อเช่าซื้อรถ ตามอุปสงค์ที่เร่งตัวจากปัจจัยชั่วคราว กล่าวคือ การเร่งโอนบ้านก่อนมาตรการสินเชื่อใหม่มีผลใน 1 เม.ย.62 และยอดขายรถที่คาดว่ายังมีการทยอยส่งมอบรถต่อเนื่องจากช่วงปลายปีที่แล้ว
· กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวน จากประเด็นความไม่ชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งแต่เชื่อว่าเป็นผลกระทบกับบรรยากาศการลงทุนแค่ระยะสั้นเท่านั้น เพราะระยะยาวยังมองว่าทั้ง 2 ขั้วพรรคการเมืองที่ต้องการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมีประสบการณ์บริหารเศรษฐกิจประเทศมาแล้ว และนโยบายด้านเศรษฐกิจที่นำมาหาเสียงของทั้ง 2 ขั้วก็เน้นกระตุ้นการเติบโตเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน สนับสนุนการทำธุรกิจของเอกชนตั้งแต่กลุ่มสตาร์ทอัพไปจนถึงบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ และเข้ามาดูแลกำลังซื้อกลุ่มฐานราก นับเป็นสิ่งสะท้อนความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนได้ว่าไม่ว่าขั้วใดจะได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ เศรษฐกิจไทยน่าจะถูกผลักดันได้ในระยะถัดไป