· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลงหลังจากที่ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่าหลายปี จึงจุดประกายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอีกครั้ง และดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับลง 32.14 จุด ที่ 25,625.59 จุด หลังจากที่ภาพรวมระหว่างวันร่วงลงไปกว่า 232.46 จุด ทางด้านดัชนี Nasdaq ปิดปรับลง 0.6% ที่ 7,643.38 จุด ทางด้านดัชนี S&P500 ปิด -0.5% ที่ 2,805.37 จุด
อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังคงให้ความสนใจไปยังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ที่เคลื่อนไหวต่ำกว่าผลตอบแทน 3 เดือนตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว เพราะถือเป็นครั้งแรกที่เป็นความผกผันของผลตอบแทนทั้งสองตัวนับตั้งแต่ปี 2007 ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าภาวะผกผันที่เกิดขึ้นถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นตลอดในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา
· ตลาดหุ้นยุโรปปิดทรงตัว ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่มีท่าทีระมัดระวังจากความกังวลต่อความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะประสบภาวะถดถอย โดยดัชนี Stoxx 600 ปิด +0.02% ท่ามกลางหุ้นส่วนใหญ่ที่เคลื่อนไหวผสมผสานกัน ขณะที่หุ้นหลักใหญ่ๆปรับลง
· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับตัวลงในวันนี้ ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯจากการที่กลุ่มนักลงทุนเฝ้าจับตาการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปี ที่ยังคงปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่าหนึ่งปี โดยดัชนีนิกเกอิเปิด -1.78% ขณะที่Topix เปิด -1.73% ทางด้านดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เปิด -0.89% และดัชนี ASX200 ปิด -0.33%
· นักบริหารทางการเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในกรอบระหว่าง 31.80-31.95 บาท/ดอลลาร์ โดยค่าเงินบาทอ่อนค่า จากปัจจัยการเมืองในประเทศที่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล เพราะต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้คาดเดาทิศทางได้ยาก พร้อมทั้งยังคาดว่า ค่าเงินบาทช่วงนี้น่าจะยังผันผวน ต้องติดตามกรณีรัฐบาลอังกฤษเตรียมเสนอให้มีการลงมติเรื่องข้อตกลงในการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) และ ปัจจัยการเมืองในประเทศต่อไป