· ค่าเงินปอนด์ปรับแข็งค่าขึ้น ขณะที่ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าด้วยเช่นกัน แต่ภาพรวมของทางเทคนิคก็ยังอยู่ในทิศทางอ่อนค่า ขณะที่ที่นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวเมื่อวานนี้ว่า เธอจะทำการเรียกร้องต่ออียูในการขยายระยะเวลา Brexit ออกไปจากกำหนดในวันที่ 12 เม.ย. นี้
เมื่อวานนี้ค่าเงินปอนด์ ปิดปรับขึ้น 0.4% หลังทราบถ้อยแถลงของนางเมย์ โดยปิดเหนือ 1.31 ดอลลาร์/ปอนด์ ทางด้านยูโรปรับแข็งค่ามาที่ 1.1215 ดอลลาร์/ปอนด์ ก่อนจะอ่อนตัวลงกลับมาเล็กน้อย ขณะที่ดอลลาร์ยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร แม้ว่านักลงทุนจะเริ่มคาดการณ์กันว่าแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะส่งผลให้เฟดและอีซีบีมีแนวโน้มสูงที่จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย
· นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ เผยว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกเผชิญกับภาวะอ่อนตัวลง จากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับเงื่อนไขทางการเงินที่ตึงตัว แต่การชะลอการขึ้นดอกเบี้ยจะช่วยสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ได้ ซึ่งโดยภาพรวมของเศรษฐกิจโลกพบว่ามีสัญญาณชะลอตัวทางเศรษฐกิจมากถึง 70%
อย่างไรก็ดี นางลาการ์ด คาดหวังว่าการเจรจาทางการค้าระหว่างสองประเทศจะมีความชัดเจนและมีความคืบหน้ามากขึ้น โดยเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากการเรียกเก็บภาษี 25% ก็อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯลดการขยายตัวลงมากถึง 0.6% ขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนมีโอกาสลดลง 1.5% และหากการเจรจาทั้งสองประเทศออกมาในเชิงลบ นอกจากจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศแล้ว ยังสร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกอย่างมากด้วย
· นายมาร์ค แซนดี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังจาก Moody’s Analytics กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย หากว่าสหรัฐฯและจีนยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกันได้ภายในระยะเวลา 3 เดือน ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็จะเห็นได้จากภาวะเปราะบางของความเชื่อมั่นทางภาคธุรกิจอันเป็นผลมาจาก Trade War ของสองประเทศ
ทั้งนี้ สหรัฐฯและจีนยังคงเดินหน้าเจรจาร่วมกันต่อ โดยที่นายหลิว เฮ่อ นายกรัฐมนตรีจากจีนมีกำหนดการเดินทางเยือนสหรัฐฯในวันนี้ เพื่อร่วมหารือข้อพิพาททางการค้า
· รายงานจาก Wall Street Journal ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้มีการพูดคุยผ่านโทรศัพท์กับนายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด โดยนายทรัมป์ได้กล่าวว่า “คงจำเป็นต้องทำงานร่วมกันไปก่อน” บ่งชี้ถึงสัญญาณความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีและเฟด
ทั้งนี้ เป็นเพราะว่านายทรัมป์ไม่พึงพอใจต่อแนวทางนโยบายการเงินของเฟด และได้มีการกล่าวโจมตีเฟดเป็นครั้งคราวนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดหุ้น
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของปีนี้ โดยน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้นใกล้ 70 เหรียญ/บาร์เรล จากมุมมองที่ว่าการที่อิหร่านและเวเนซุเอลาถูกคว่ำบาตรทางด้านน้ำมัน จะยังเป็นปัจจัยที่ทำให้กลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตรยังเดินหน้าปรับลดอุปทานน้ำมัน
น้ำมันดิบ Brent ทำ High นับตั้งแต่ 13 พ.ย. ปีที่แล้วที่ 69.52 เหรียญ/บาร์เรล ก่อนจะปิดปรับตัวขึ้นได้ 36 เซนต์ คิดเป็น +0.52% ที่ 69.37 เหรียญ/บาร์เรล
น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 99 เซนต์ คิดเป็น +1.61% ที่ระดับ 62.58 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ไปทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 7 พ.ย. บริเวณ 62.75 เหรียญ/บาร์เรล