· ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ ท่ามกลางความคาดหวังที่ว่าการเจรจาระหว่างสหรัฐฯและจีนจะบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ และทำให้ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกฟื้นตัว ขณะที่ภารบริการในยูโรโซนที่ฟื้นตัวจาก 52.8 จุด สู่ระดับ 53.3 จุด ได้ช่วยหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมนีอายุ 10 ปี ปรับขึ้นเหนือศูนย์
ค่าเงินยูโรล่าสุทรงตัวแถว 1.124 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ร่วงลงไปทำระดับต่ำสุดรอบกว่า 3 สัปดาห์ ที่ 1.1174 ดอลลาร์/ยูโรเมื่อวันอังคาร และทำให้ภาพรวมค่าเงินมีทิศทางอ่อนค่ามากที่สุดตั้งแต่มิ.ย. ปี 2017
ด้านค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลัง PMI ภาคบริการชะลอตัวลงในรอบกว่า 1 ปีครึ่ง อันเป็นผลมาจากการร่วงลงของยอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ และได้ตอกย้ำถึงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จึงอาจทำให้เฟดต้องยุติแนวทางการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้
ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวแถว 97.091 จุด หลังจากที่เมื่อวานนี้ยืนเหนือ 97.2 จุด ขณะที่เงินเยนทรงตัวที่ 111.45 เยน/ดอลลาร์
· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ตามการเจรจาทางการค้าล่าสุดระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยอัตราผลตอบแทนอายุ 10 ปี ปรับขึ้นไปแตะ 2.513% ทางด้านอัตราผลตอบแทน 30 ปีปรับขึ้นไปที่ 2.923%
เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯและจีนมีการรายงานสอดคล้องกันว่า ทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้ข้อตกลงทางการค้าโดยส่วนใหญ่ ขณะที่รายงานจาก Financial Times ระบุว่า จีนต้องการให้สหรัฐฯยกเลิกการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของจีน ขณะที่ทีมบริหารของนายทรัมป์ ต้องการให้จีนปรับนโยบายเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญา
· รองประธานฝ่ายบริหารจาก International Affairs ประจำกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า ข้อตกลงการค้าของสหรัฐฯและจีนมีความคืบหน้ามากถึง 90% แต่อีก 10% ยังคงติดในเรื่องการเจรจาประนีประนอมตามข้อเรียกร้องที่ทาง Financial Times นำเสนอ
· ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ พบว่า มีการชะลอตัวลงมากที่สุดแตะระดับต่ำสุดรอบ 18 เดือน นับตั้งแต่เดือนมี.ค. จึงเริ่มเห็นสัญญาณการจ้างงานที่มีแนวโน้มชะลอตัวมากขึ้น
· หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Moody’s Analytics กล่าวว่า ตลาดแรงงานที่กำลังอ่อนตัว ประกอบกับการจ้างงานมีการชะลอตัวทั่วในกลุ่มบริษัทและภาคอุตสาหกรรม โดยการจ้างงานในภาคธุรกิจดูมีท่าทีระมัดระวังต่อสภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดูเหมือนนโยบายกระตุ้นทางการเงินของสหรัฐฯจะเลือนหายไป ขณะที่ภาพรวมมีความไม่แน่นอนในเรื่องการค้า จึงอาจทำให้เฟดชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หากภาวการณ์จ้างงานยังอ่อนตัวต่อไป เราน่าจะเห็นคนว่างงานที่เริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
· รายงานจาก ADP พบว่า การจ้างงานภาคเอกชนเดือนมี.ค. ขยายตัวที่ 129,000 ตำแหน่ง หรือลดลงไป 68,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่ปรับทบทวนมาที่ 197,000 ตำแหน่ง และทำให้นักลงทุนจับตาไปยังข้อมูลสำคัญในคืนวันศุกร์
· ISM เผย ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ PMI ภาคบริการในเดือนมี.ค.ชะลอตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 12 เดือน โดยดัชนีล่าสุดอยู่ที่ 56.1 จุด ซึ่งเป็นระดับอ่อนตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ส.ค. ปี 2017
· รัฐสภาอังกฤษอนุมัติร่างนโยบายที่จะยอมให้นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ สามารถเจรจาขอขยายระยะเวลา Brexit ออกไปมากกว่าวันที่ 12 เม.ย. กับทางอียูได้
ซึ่งนางเมย์ได้ระบุว่า เธอต้องการที่จะขอขยายเวลา Brexit ออกไปจากวันที่ 12 เม.ย. เพื่อพยายามหาข้อตกลงในการเจรจากับนายเจเรมี โคบลิน หัวหน้าฝ่ายค้าน เพื่อร่วมแก้ไขร่างนโยบาย Brexit ที่เคยถูกปฏิเสธมาถึง 3 ครั้ง และนำข้อตกลงดังกล่าวไปทำการลงมติอีกครั้ง
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยง No-deal Brexit ในวันที่ 12 เม.ย. นางเมย์จำเป็นต้องเสนอแผนการดำเนินงานที่น่าเชื่อถือต่ออียูภายในวันพุธสัปดาห์หน้า เพื่อให้สภาอียูตัดสินใจว่าจะอนุมัติขยายระยะเวลาให้อังกฤษหรือไม่
ขณะที่ ประธานคณะกรรมการด้านการแข่งขันทางเศรษฐกิจแห่งอียู กล่าวว่า อังกฤษควรได้รับการอนุมัติให้ขยายระยะเวลาของ Brexit ออกไป พร้อมระบุว่า การขยายระยะเวลาไม่ถือเป็นความเสี่ยงต่ออียูแต่อย่างใด
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง หลังจากเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 วันทำการ ท่ามกลางสต็อกน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นจึึึงกดดันการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก รวมทั้งประเด็นการคว่ำบาตรอิหร่านและเวเนซูเวล่าของสหรัฐฯ
สำนักงานคลังข้อมูลพลังงานสหรัฐฯรายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 7.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่เหล่านักวิเคราะห์จากโพลล์สำรวจของ Reuters คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 425,000 บาร์เรล
โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 12 เซนต์ ที่ระดับ 62.46 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 6 เซนต์ ที่ระดับ 69.31 เหรียญ/บาร์เรล