· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับตัวขึ้นท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่รอสัญญาณความคืบหน้าของเจรจา Trade War ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการบรรลุข้อตกลงการค้าร่วมกัน โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับขึ้น 166.5 จุด ที่ 26,384.63 จุด ขณะที่หุ้น S&P500 ปิด +0.2% ที่ 2,879.39 จุด และถือเป็นการปิดบวกยาวนานติดต่อกัน 6 วันเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนก.พ. ปี 2018 ทางด้านดัชนี Nasdaq ปิด -0.1% ที่ 7,891.78 จุด
· ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลง ท่ามกลางตลาดจับตาไปยังความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยดัชนี Stoxx 600 ปิด -0.3% ท่ามกลางหุ้นส่วนใหญ่ที่เคลื่อนไหวแดนลบ
หุ้น FTSE MIB ของอิตาลี ร่วงลงไป 0.2% หลังจากที่ Bloomberg รายงานว่า รัฐบาลอิตาลีหั่นคาดการณ์การขายตัวทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจีดีพีจะโตได้ 0.1% ในปีนี้ โดยลดลงจาก 1% ที่คาดไว้ในเดือนธ.ค.
· ตลาดหุ้นเอเชียปิดปรับขึ้นในเช้านี้ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่จับตารายละเอียดเพิ่มเติมของการเจรจาทางการค้าที่เป็นไปได้จะนำไปสู่ข้อตกลงการค้าร่วมกันระหว่าง 2 ประเทศ
ดัชนีนิกเกอิเปิด +0.16% และดัชนี Topix เปิด +0.15% ท่ามกลางหุ้น Kospi ของเกาหลีใต้เปิด +0.17% และดัชนี ASX 200 ปิด -0.67%
· สำหรับตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงจะปิดทำการเนื่องในวันเชงเม้ง
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์ นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทวันนี้ไว้ที่ระหว่าง 31.70-31.85 บาท/ดอลลาร์ โดยปัจจัยการเมืองภายในประเทศจะเข้ามามีผลกระทบในช่วงที่ไม่มีปัจจัยใหม่จากต่างประเทศ
· ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน มี.ค.62 อยู่ที่ 80.6 จาก 82.0 ในเดือน ก.พ.62 โดยค่าดัชนีปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง นอกจากนี้ ยังกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้าและกำลังซื้อของประชาชนยังไม่ฟื้นขึ้นมากนัก ประกอบกับ เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าและการที่อังกฤษจะออกจากสมาชิกภาพของสหภาพยุโรป (Brexit)
· ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังมีแนวโน้มเป็นขาลงจนกว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และมีนโยบายในการบริหารประเทศอย่างชัดเจน เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกมากระตุ้น
· ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยไว้ที่ 3.5-3.8% จากเดิมคาดไว้ที่ 4% โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรก จะขยายตัวอยู่ที่ 3.3-3.5% ส่วนครึ่งปีหลังหากการเมืองมีเสถียรภาพ ทุกฝ่ายยอมรับกติกาการเลือกตั้ง คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 3.7-4% และคาดการณ์การส่งออกขยายตัว 4% เท่าเดิม
· นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการติดตามงานกระทรวงพาณิย์และมอบแนวทางการดำเนินงานหลังการเลือกตั้งว่า ในช่วงที่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล และรัฐบาลปัจจุบันยังต้องทำหน้าที่ต่อไปอย่างน้อย 2-3 เดือน จึงมาให้แนวทางการทำงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน โดยได้เน้นย้ำเรื่องนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือ Local Economy
· ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือ (MOU) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างธนาคารกลางของอาเซียนและนวัตกรรมทางด้านการชำระเงินเพื่อเชื่อมโยงความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจของอาเซียนจะเข้มแข็งขึ้นจากการนำเทคโนโลยีทางการเงินสมัยใหม่มาใช้ในบริการชำระเงิน อันจะช่วยสนับสนุนการค้า การลงทุน และบริการต่างๆ ในภูมิภาค
· ที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียนบวกสาม เห็นพ้องต้องกันว่าประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสามควรจะมีการเตรียมพร้อมรองรับต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่จะเกิดขึ้น และดำเนินนโยบายการเงินการคลังเพื่อช่วยในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจในภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนทั้งในปีนี้และปีหน้า