· ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินเยน ท่ามกลางสัญญาณเชิงบวกจากการเจรจาการค้าระหว่งาสหรัฐฯ-จีน แต่การเคลื่อนไหวของตลาดวันนี้ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากมียังไม่มีข่าวที่บ่งชี้ถึงบทสรุปของการเจรจาการค้าแต่อย่างใด
โดยรายงานจาก Xinhua ระบุว่า นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้กล่าวว่า การเจรจามีความคืบหน้า พร้อมมีคำสั่งให้ตัวแทนเร่งหาข้อสรุปในการประชุม ขณะที่ทางนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ข้อตกลงทางการค้าจะเกิดขึ้นภายใน 4 สัปดาห์ แต่ได้เตือนว่า การทำการค้าใดๆร่วมกับจีนยังคงเป็นไปได้ยาก หสกทั้ง 2 ฝ่ายยังมีประเด็นขัดแย้งกันอยู่
ทั้งนี้ ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าทำระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 111.8 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินหยวนแข็งค่า 0.2% แถว 6.7065 หยวน/ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ค่าเงินดอลลาร์ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลักอื่นๆ โดยในช่วงตลาดยุโรปวันนี้ ค่าเงินส่วนใหญ่มีการเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ
· นักวิเคราะห์จาก MUFG ระบุว่า ตลาดกำลังจับตาการประกาศข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯในคืนนี้ เพื่อวิเคราะห์ทิศทางต่อไปของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาด “ไร้ซึ่งความชัดเจนของทิศทาง” ก่อนหน้าการประกาศตัวเลขสำคัญ
· ด้านค่าเงินยูโรแข็งค่าเล็กน้อยแถว 1.1228 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งแข็งค่าได้อย่างจำกัด เนื่องจากแรงกดดันของตัวเลขคำสั่งซื้อของภาคอุตสาหกรรมเยอรมนีประกาศออกมาอ่อนแอผิดคาดเมื่อวานนี้
· ด้านค่าเงินปอนด์แข็งค่า 0.2% แถว 1.3093 ดอลลาร์/ปอนด์ เคลื่อนไหวเข้าใกล้ 1.31 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังมีรายงานว่า กรรมการอียู ได้เสนอทางเลือกให้อังกฤษสามารถขยายระยะเวลาของ Brexit ออกไปได้ถึง 1 ปี
· ผลสำรวจโดย Reuters เชื่อว่าการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯในเดือน มี.ค. จะฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากความผันผวนของสภาพภูมิอากาศที่ลดน้อยลง จึงอาจช่วยหนุนการจ้างงานโดยเฉพาะในภาคการก่อสร้าง และอาจลดความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวลงอย่างมากของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ได้
ทั้งนี้ การจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯถูกคาดการณ์ว่าจะประกาศออกมาที่ 180,000 ตำแหน่งในเดือน มี.ค. จากเดิมในเดือน ก.พ. ที่ 20,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. ปี 2017 และตลาดก็จะจับตาดูด้วยว่า ตัวเลขในเดือน ก.พ. จะถูกแก้ไขใหม่สูงขึ้นหรือไม่
สำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1/2019 ถูกคาดการณ์ไว้ที่ระหว่าง 1.4 – 2.1% เทียบกับไตรมาสที่ 4/2018 ที่ขยายตัวได้ 2.2% แต่ชะลอตัวลงกว่าไตรมาสที่ 3/2018 ที่สามารถขยายตัวได้ 3.4%
· นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs คาดว่า ตัวเลขภาคแรงงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯจะเพิ่มที่ระดับ 190,000 ตำแหน่ง อัตราการว่างงานอยู่ที่ระดับ 3.8% ขณะที่ค่าแรงเฉลี่ยรายชั่วโมงอยู่ที่ระดับ 0.3%
สะท้อนถึงการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนที่ระดับ 20,000 ตำแหน่ง ทั้งนี้ มองว่าจำนวนผู้ขอรับยอดสวัสดิการว่างงานที่ลดลงและความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจจากผลสำรวจต่างๆบ่งชี้ว่าการเติบโตของตลาดแรงงานในปีนี้จะยังคงแข็งแกร่งแต่ยังคงมีทิศทางการเติบโตที่ดูจะชะลอตัวลงจากปีที่ผ่านมา
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า นายโดนัลด์ ทัคส์ ประธานกรรมการอียู ได้เสนอทางเลือกที่ “ยืดหยุ่น” ให้อังกฤษสามารถขยายระยะเวลาของ Brexit ออกไปได้ถึง 12 เดือน อย่างไรก็ตาม ทางเลือกดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากบรรดาผู้นำประเทศในอียูภายในการประชุมสัปดาห์หน้าเสียก่อน ถึงจะสามารถทำให้มีผลบังคับใช้ได้
ขณะที่ทางอังกฤษเองก็กำลังพิจารณาขอขยายระยะเวลา Brexit ออกไปเป็นช่วงสั้นๆจนถึงวันที่ 22 พ.ค เท่านั้น จากกำหนดการเดิมที่อังกฤษจะถอนตัวออกในวันที่ 12 เม.ย. ซึ่งทางนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กำลังพยายามเจรจากับผู้นำฝ่ายค้านเพื่อหาเสียงสนับสนุนในข้อตกลง Brexit ของเธอ
· ภาคอุตสาหกรรมเยอรมนีขยายตัวได้ 0.7% ในเดือน ก.พ. ท่ามกลางสภาพอากาศที่สงบลง จึงช่วยให้กิจกรรมของภาคการก่อสร้างให้ขยายตัวขึ้นได้ แต่ผลผลิตโดยรวมกลับลดน้อยลง ทำให้ตลาดยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจเยอรมนี
เศรษฐกิจเยอรมนีถูกกดดันการขยายตัวจากภาวะ Brexit ที่ยังไร้ความชัดเจน ประกอบกับการที่เศรษฐกิจเกือบขู่ภาวะชะลอตัวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้สถาบันทางเศรษฐกิจหลายแห่งต่างปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเยอรมนีในปี 2019
· นายบรูโน เลอ แมร์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังแห่งฝรั่งเศส กล่าวว่า เศรษฐกิจยูโรโซนในอนาคตอาจตกอยู่ในภาวะยากลำบาก หากประเทศสมาชิกทั้ง 19 ประเทศไม่รีบตกลงกันเกี่ยวกับมาตรการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ
· ราคาน้ำมันปรับลดลงในวันนี้ โดยราคาน้ำมัน Brent ปรับตัวลงจากระดับ 70 เหรียญ/บาร์เรล อีกครั้ง หลังจากขึ้นไปได้เมื่อวานนี้ ท่ามกลางแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-จีน โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับลดลง 0.2% แถว 69.25 เหรียญ/บาร์เรล หลังขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ 70.03 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของวันที่ 12 พ.ย.
ขณะที่ราคาน้ำมัน WTI ปรับลดลง 1 เซนต์ แถว 62.09 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากช่วงตลาดที่ผ่านมา ราคาร่วงลง 36 เซนต์หลังทำระดับสูงสุดที่ 62.99 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของวันที่ 7 พ.ย.