


· ตลาดหุ้นยุโรปเคลื่อนไหวผสมผสาน หลังจาก Brexit มีการขยายระยะเวลาออกไปถึง 31 ต.ค. โดยดัชนี Stoxx600 ลดลงเล็กน้อย ขณะที่ตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในทิศทางที่แตกต่างกัน
· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงจากระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน ท่ามกลางการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์เนื่องจากความไม่แน่นอนในยุโรปและการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินของเฟดตอกย้ำความกังวลของเหล่านักลงทุนเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก
โดยดัชนี MSCI ที่ไม่รวมหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 0.4% หลังจากปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกัน 4 วันทำการ และทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนส.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จาก Rakuten Securities Australia ระบุว่า เหล่าเทรดเดอร์ยังคง Wait & See โดย 2 ความเสี่ยงที่สำคัญและต้องติดตามในช่วงนี้ คืออีซีบีและเฟด
· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางการซื้อขายที่เบาบาง อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นถูกจำกัดจากการอ่อนแอในหุ้นกลุ่มการเงิน หลังจากที่รายงานการประชุมเฟดที่ดำเนินนโยบายการเงินเชิงผ่อนคลาย โดยดัชนี Nikkei ลเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.1% ที่ระดับ 21,711.38 จุด หลังจากที่เคลื่อนไหวผันผวนในแดนบวก ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า ค่าเงินเยนถูกเข้าซื้อบริเวณ 111 เยน/ดอลลาร์ จากนักลงทุนระยะสั้น
· ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์ เนื่องจากความเชื่อมั่นของเหล่านักลงทุนที่ลดลง ท่ามกลางประเด็นการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและยุโรป รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
โดยดัชนี Shanghai Composite ลดลง 1.6% ที่ระดับ 3,189.96 จุด
ความไม่แน่นอนทางการค้าครั้งใหม่ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯสหรัฐ เตรียมเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป คิดเป็นมูลค่า 1.1 หมื่นล้านเหรียญ แม้ว่าข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนยังคงไม่สามารถบรรลุข้อตกลง