· ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง ในขณะที่นักลงทุนเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยกว่าอย่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรและค่าเงินเยน เป็นต้น อันเป็นผลหลังจากที่นายทรัมป์เผยแผนจะขึ้นภาษีจีนอย่างไม่คาดคิด โดยวันนี้ดัชนีนิกเกอิร่วงลงไปกว่า1.5% หลังดาวโจนส์ปิดลบไปกว่า 1.8% แม้ว่าสหรัฐฯจะประกาศขึ้นภาษีจีนจาก 2 แสนล้านเหรียญในวันศุกร์นี้ โดยกล่าวอ้างว่าจีนพยายามที่จะบ่ายเบี่ยงในการทำข้อตกลงการค้า แต่จีนก็ยังเดินหน้าจะเจรจาต่อ ซึ่งจะส่งผู้แทนเจรจามาเข้าหารือในช่วงปลายสัปดาห์นี้ นำโดย นายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีจีนที่จะเดินทางถึงสหรัฐฯในวันพฤหัสบดีนี้
· ดัชนีหุ้นล่วงหน้าของสหรัฐฯเปิดทรงตัววันนี้ ท่ามกลางตลาดกำลังจับตาท่าทีความสัมพันธทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
โดย ดัชนี Dow Jones Futures ทรงตัว ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ก็เปิดสูงขึ้นเล็กน้อย
สำหรับการประกาศผลประกอบการของบริษัทที่กำลังจับตาภายในวันนี้ ได้แก่ Honda Motor, Toyota Motors, NY Times และ Wendy’s รวมถึง Dinery กับ Fox Corp ที่จะตามมาหลังเปิดตลาดสหรัฐฯคืนนี้
ขณะที่ไม่มีตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สำคัญในคืนนี้
· ตลาดหุ้นยุโรปเคลื่อนไหวผสมสาน ท่ามกลางความไม่แน่นเกี่ยวกับการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐณและจีน ที่กดดันตลาดอย่างต่อเนื่อง
โดยดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่น ร่วงลง 0.55%
· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงลง 1.5% ซึ่งทำระดับต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับประเด็นสงครามทางการค้าที่ยังคงกดดันตลาดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ค่าเงินเยนปรับแข็งค่าขึ้นกดดันหุ้นกลุ่มส่งออก
โดยดัชนี Nikkei ลดลง 321.13 จุด และปิดที่ระดับ 21,602.59 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา
· หัวหน้านักกลยุทธ์อาวุโสประจำ Sumitomo Mitsui Trust Asset Management ระบุว่า ก่อนช่วงวันหยุดยาวตลาดมีมุมมองเชิงบวก โดยนักลงทุนคาดว่าการเจรจาทาวการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะสามารถผ่านไปได้ด้วยดี
ขณะที่ตอนนี้เหล่านักลงทุนให้ความสนใจไปยังการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยนายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีจีนจะเดินทางเยือนสหรัฐฯในวันที่ 9-10 พ.ค. เพื่อหารือทางการค้าระหว่างสองประเทศต่อตามคำเชิญของเจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐฯ
· ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงในวันนี้ ท่ามกลางยอดส่งออกที่ออกมาอ่อนแอกว่าที่คาด รวมทั้งความกังวลของเหล่านักลงทุนเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยดัชนี Shanghai Composite ร่วงลง 1.1% ที่ระดับ2,893.76 จุด
· อ้างอิงจากโพสต์ทูเดย์ ระบุว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% หลังจากประเมินแล้วเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงทั้งจากเศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัว กระทบกับการส่งออกไทย
นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่ยังต้องประเมินผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวขยายตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.8% จึงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายสนับสนุนการขยายตัวเศรษฐกิจ
ด้านนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เป็นเรื่องที่ยังต้องติดตามผลกระทบกับการส่งออกและเศรษฐกิจไทยซึ่งรัฐบาลได้เตรียมความพร้อม เพื่อรองรับกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจภายในประเทศยังขยายตัว ทำให้ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจทั้งปีจะขยายตัวได้ 3.8% ตามที่กระทรวงการประมาณการไว้
สำหรับการจัดตั้งรัฐบาลยังอยู่ในกำหนดเวลาการตามเดิม และเชื่อว่าจะเป็นผลบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการลงทุนที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น