· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งหลังจากที่เผชิญแรงเทขายทำกำไรในวันก่อนหน้า แม้ว่านักลงทุนจะยังคงเฝ้าระวังต่อความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนอยู่ก็ตาม
ดัชนีดาวโจนส์ปิด +207.06 จุด ที่ระดับ 25,532.05 จุด โดยมีภาพระดับวันดีที่สุดตั้งแต่ 12 เม.ย. และได้รับอานิสงส์บวกจากหุ้นบริษัทโบอิ้งและวีซ่า ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด +0.8% ที่ระดับ 2,834.41 จุด จากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ทางด้านดัชนี Nasdaq ปิด +1.1% ที่ 7,734.49 จุด
· CEO จาก E-Valuator Funds กล่าวว่า การฟื้นตัวของตลาดหุ้นนั้นมีขึ้นจากปัจจัยพื้นฐานต่างๆที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ประกอบกับการที่นักลงทุนรอดูข้อตกลงการค้าของจีนว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เพิ่มมากขึ้นแต่ยังไม่มีใครรู้ว่าทิศทางที่จะดำเนินต่อไปนั้นจะไปในทิศทางใด
· ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่เริ่มลดความกังวลเกี่ยวกับการที่จีนโต้สหรัฐฯด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าในอัตราเท่าๆกัน โดยดัชนี Stoxx600 ปิด +0.91%
· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผสมผสานกันหลังจากที่เปิดปรับลงในช่วงต้นสัปดาห์จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศ โดยดัชนีนิกเกอิเช้านีเปิด -0.11% ขณะที่หุ้น Kospi ของเกาหลีใต้เปิด -0.23% แต่หุ้น ASX200 เปิด +0.14%
สำหรับตลาดหุ้นเอเชีย คาดว่าจะยังรอการประกาศข้อมูลผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯประจำเดือนเม.ย. ที่จะเปิดเผยประมาณ 09.00น.ตามเวลาไทย
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ระหว่าง 31.45-31.60 บาท/ดอลลาร์
เมื่อวานนี้เงินบาททำ Low แข็งค่าสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 62 โดยนักบริหารเงินกล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่ามาจากกรณีที่ทางการไทยออกมาระบุว่า ไทยไม่ได้แทรกแซงค่าเงินเพื่อให้เกิดความได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐ เพียงแต่ไทยมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐอยู่บ้าง และไม่ได้กังวลกรณีอาจมีชื่ออยู่ในบัญชีของประเทศที่จะมีการติดตามต่อไป ด้านปัจจัยทางการเมือง เริ่มมีความคลี่คลายมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ปัจจัยสงครามการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯกับจีนยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
- ธปท. เปิดเผยว่า จะติดตามสถานการณ์สถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนอย่างใกล้ชิดและจะประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ในการประชุม กนง. เดือน มิ.ย. นี้ต่อไป
- ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ส่งผลกระทบต่อการค้าโลกและเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นอน ซึ่งเดิมได้คาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 62 ขยายตัว 3.3-3.5% เมื่อสหรัฐขึ้นภาษีสินค้าจีนมูลค่า 200,000 ล้าน USD จาก 10% เป็น 25% คาดว่า GDP โลกจะเหลือเพียง 3% หรือจะหดหายไป 0.3-0.5% ซึ่งผลกระทบดังกล่าวจะส่งผลไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย
สำหรับการส่งออกไทยในปี 62 ได้ประเมินว่าจะขยายตัวในระดับ 3.2-4.6% เมื่อสหรัฐปรับขึ้นภาษีจีนจาก 10% เป็น 25% ก็จะกระทบต่อการส่งออกไทยในปีนี้ทันที 1% หรือจะลดลงเหลือเพียง 2.2-4.6%
- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงฯ เชิญนักลงทุนและผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์และชิ้นส่วน มาหารือเบื้องต้นก่อน เพราะได้รับผลกระทบจากกรณีที่สหรัฐฯขึ้นภาษีกับจีนมากที่สุด ก่อนที่จะประชุมหารือกับทูตพาณิชย์ทั่วโลกเพื่อกำหนดเป้าหมายส่งออกต่อไป