รายงานจาก Morgan Stanley ระบุว่า ทองคำดูจะน่าสนใจในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย จากความตึงเครียดทางการค้าที่ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจสหรัฐฯอ่อนแอ และฉุดให้ดอลลาร์จะอ่อนค่าลง
ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่กรณีการขัดแย้งทางการค้าของสหรัฐฯและจีนเท่านั้นที่นักลงทุนให้ความสนใจ แต่ Morgan Stanley มองว่า ความเป็นไปได้ที่จะเกิด Trade War กับทางฝั่งยุโรปด้วยนั้นก็ดูจะเป็นปัจจัยเสี่ยงครั้งใหญ่ทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีเวลาจนถึงวันที่ 18 พ.ค. ที่จะตัดสินใจว่าจะขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากทางยุโรป โดยเป็นกำหนดเวลาช่วง 90 วัน หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯได้ใช้ศึกษากรณีการนำเข้ารถยนต์ดูจะเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี บางรายงานก็ระบุว่า นายทรัมป์น่าจะทำการเลื่อนการตัดสินใจดังกล่าวออกไปอีก 6 เดือน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญ Trade War สองทาง ในขณะที่สหรัฐฯมีการเจรจากับทางจีนอยู่ในเวลานี้
นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley กล่าวว่า การขึ้นภาษีสินค้านำเข้ากับทางยุโรปดูจะส่งผลกระทบมากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศจีน นี่จึงอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมสหรัฐฯจึงเผชิญกับแรงเทขายอย่างหนัก เพราะจะเป็นสาเหตุที่กระทบต่อภาคบริษัทฯ และผลประกอบการ
นอกจากนี้ บรรดานักวิเคราะห์ ก็ยังมองว่า Trade War ระหว่างสหรัฐฯกับยุโรป อาจทำให้เฟดต้องตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยเครื่องมือ FedWatch ของ CME ชี้ว่า มีโอกาสกว่า 70% ที่จะเห็นเฟดตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยในช่วงสิ้นปีนี้ และทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมค่าเงินดอลลาร์จึงดูไม่ได้รับอานิสงส์เชิงบวกใดๆจากความตึงเครียดที่ขยายเวลามาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงส.ค.หรือก.ย. ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ยังเน้นให้ติดตาม Yield Curve และความเชื่อมั่นนักลงทุนที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อดอลลาร์ ที่จะถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทองคำปรับตัวสูงขึ้นได้ โดยการอ่อนค่าของดอลลาร์จะเป็นตัวหนุนทิศทางทองคำ ขณะเดียวกันการที่สหรัฐฯจะเลื่อนการขึ้นภาษีสินค้านำเข้ารถยนต์ยุโรปก็อาจช่วยหนุนทองคำได้ เพราะจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ และในเวลาเดียวกัน แม้สหรัฐฯจะเลี่ยงการทำสงครามการค้ากับยุโรป แต่ข้อขัดแย้งกับทางจีนที่ยังดำเนินไปก็ดูจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก
ที่มา: Kitco