
· ค่าเงินยูโรและเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์เริ่มกลับมามีสมดุล หลังมีรายงานว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ น่าจะเลื่อนการประกาศขึ้นภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าจากยุโรปออกไปถึง 6 เดือน เพื่อให้เวลาสำหรับการเจรจาการค้า
โดยค่าเงินยูโรแข็งค่า 0.1% บริเวณ 1.1208 ดอลลาร์/ยูโร หลังรีบาวน์ขึ้นมาจากระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ที่ 1.1178 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นผลกระทบจากกรณีที่เกิดความขัดแย้งระหว่างอิตาลีและสหภาพยุโรป
นักวิเคราะห์จาก Barclays ประเมินว่า ภาพรวมระยะยาวสำหรับค่าเงินยูโรดูไม่ค่อยสดใสนัก เนื่องจากความอ่อนแอของตัวเลขทางเศรษฐกิจยูโรโซน ขณะที่ข่าวการเลื่อนขึ้นภาษีช่วยให้ค่าเงินสามารถสร้างฐานได้ที่บริเวณ 1.1200 ดอลลาร์/ยูโร
ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.1% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 109.485 เยน/ดอลลาร์ ส่วนดัชนีดอลลาร์ค่อนข้างทรงตัวแถว 97.542 จุด หลังจากปรับแข็งค่าขึ้นมาได้เมื่อวานนี้
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศภาวะฉุกเฉินผ่านคำสั่งประธานาธิบดี ต่อภัยคุกคามที่อาจมีต่อเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยคำสั่งดังกล่าวจะกีดกันไม่ให้ผู้ประกอบในประเทศสามารถดำเนินธุรกรรมร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีการสื่อสารที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศได้
นอกจากนี้ คำสั่งดังกล่าวยังได้ระบุชื่อของบริษัท Huawei Technologies และบริษัทที่เกี่ยวข้องส่งผลให้บริษัทเทคโนโลยีการสื่อสารยักษ์ใหญ่ของจีน ไม่สามารถดำเนินธุรกรรมในสหรัฐฯได้โดยง่าย
ทางด้าน Huawei ก็ได้ออกมาตอบโต้ โดยระบุว่า การกีดกันไม่ให้พวกเขาสามารถทำธุรกิจร่วมกับสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบให้การพัฒนาเครือข่าย 5G ของสหรัฐฯเป็นไปอย่างล่าช้า และอาจใช้งบประมาณที่สูงขึ้น รวมถึงอาจก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆที่ร้ายแรงยิ่งกว่าตามมา
· โพลสำรวจล่าสุดของ Telegraph เกี่ยวกับการเลือกตั้งรัฐสภาอียูที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า คาดว่า พรรค Brexit ของนายไนเจล ฟาร์ราจ มีแนวโน้มจะได้ทีนั่งในสภาอียูมากที่สุดสำหรับตัวแทนจากประเทศอังกฤษ
ขณะที่ในภาพรวม ตัวแทนจากพรรคการเมืองร่วมระหว่างฝั่งกลางขวาและฝั่งกลางซ้ายจากทั่วยุโรปมีแนวโน้มจะสูญเสียเสียงส่วนใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น คือการที่รัฐสภาอียูมีการแบ่งแยกเป็นฝักฝ่ายมากขึ้น และขาดฝ่ายที่ครองเสียงข้างมากอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ การเลือกตั้งรัฐสภาอียูจะเริ่มต้นในวันพุธที่ 23 พ.ค. ขณะที่การประกาศผลน่าจะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 26 พ.ค.
· นักวิเคราะห์จาก D.A. Davidson ระบุว่า บริษัทอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ในประเทศจีนอย่าง Alibaba และ Tencent มีแนวโน้มที่จะไม่ถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลสหรัฐฯเหมือนกับกรณีของ Huawei
ทั้งนี้เป็นเพราะว่า จุดมุ่งหมายที่สหรัฐฯพยายามกีดกันการดำเนินธุรกิจร่วมกับ Huawei ดูเหมือนจะไม่ได้มาจากกรณีต้องสงสัยว่า Huawei มีการละเมิดลิขสิทธ์และโจรกรรมข้อมูลที่เป็นส่วนตัวของผู้ใช้เพียงเท่านั้น แต่เนื่องจาก Huawei แย่งส่วนแบ่งทางตลาดจากบริษัทสหรัฐฯที่ดำเนินธุรกิจประเภทเดียวกัน
ในขณะที่ Alibaba และ Tencent มีฐานลูกค้าหลักๆอยู่ในพื้นที่ของประเทศจีนเท่านั้น จึงมีแนวโน้มต่ำที่จะถูกสหรัฐฯเพ่งเล็ง อีกทั้งนายแจ็ค หม่า ประธานบริหารของ Alibaba ยังสร้างจุดยืนของบริษัทที่เป็นมิตรต่อสหรัฐฯได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ ไม่น่าจะสามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯได้
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานที่เพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นในตะวันออกกลางส่งผลให้สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิด
โดยราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 0.6% ที่ระดับ 72.18 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.6% เช่นเดียวกัน ที่ระดับ 62.40 เหรียญ/บาร์เรล
เหล่านักวิเคราะห์ ระุบว่า น้ำมันกำลังได้รับแรงหนุนจากความเสี่ยงของความขัดแย้งจากสถานการณ์ความตึงเครียดที่มากขึ้นในตะวันออกกลาง โดยล่าสุดสหรัฐฯ สั่งให้ชาวอเมริกันออกจากประเทศอิรัก หลังสถานีส่งออกน้ำมันดิบและเรือบรรทุกน้ำมันของซาอุดิอาระเบียสองแหล่งถูกโจมตีบริเวณนอกชายฝั่งสหรัฐฯอาหรับอิมิเรตส์
ขณะที่การเพิ่มขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมากดดันการเพิ่มขึ้นของราคา รวมทั้งความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกว่าจะสามารถคงการดำเนินการในช่วงครึ่งปีหลังได้หรือไม่
