· ค่าเงินเยนปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินเปโซของเม็กซิโกดิ่งลงหลังจากที่นายทรัมป์ ทำการขู่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้า และยิ่งสร้างความเสี่ยงว่าเศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับภาวะถดถอย โดยผลกระทบตึงเครียดยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นตามมาจากการที่สหรัฐฯและจีนเริ่มต้นเผยข้อมูลเศรษฐกิจ โดยมาตรวัดภาคการผลิตของจีนดูจะสร้างความน่าผิดหวังให้แก่กลุ่มนักลงทุน ค่าเงินเยนกลับแข็งค่าลงมา 0.8% ที่ 108.78 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับการแข็งค่ามากที่สุดตั้งแต่ช่วงต้นเดือนก.พ.
ค่าเงินเปโซร่วงลง 3% ทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดรอบ 5 เดือนที่ระดับ 19.74 ดอลลาร์/เปโซ ซึ่งถือเป็นระดับการอ่อนค่าของค่าเงินเม็กซิโกที่มากที่สุดระดับวันนับตั้งแต่เดือนต.ค. ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ดี ค่าเงินดอลลาร์ยังมีแรงกดดันจากถ้อยแถลงของสมาชิกเฟดอาวุโสอย่าง นายริชาร์ด แคลริด้า รองประธานเฟดที่ระบุว่าเฟดจะมีการหารือถึงความเป็นไปได้ในการจะปรับลดดอกเบี้ย โดยขึ้นอยู่กับสภาวะทางเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยมากขึ้น จากปัญหา Trade War ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวลงทำระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ก.ย. ปี 2017
ดัชนีดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลงมาหลังจากไปทำระดับสูงสุดแถว 98.1 จุด โดยกลับลงมาแถว 97.75 จุดอีกครั้ง ทางด้านค่าเงินหยวนเรียกได้ว่าเดือนพ.ค.เป็นเดือนที่มีการอ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ก.ค.ปีที่แล้ว และมีโอกาสไปแตะ 7 หยวน/ดอลลาร์ได้ โดยวันศุกร์เงินหยวนทรงตัวที่ 6.9290 หยวน/ดอลลาร์
· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯเดือนพ.ค. ยังคงเคลื่อนไหวผกผันกันจากประเด็นการที่สหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าเม็กซิโกทั้งหมด ประกอบกับนักลงทุนกังวลต่อแนวโน้มการค้าของสหรัฐฯ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับร่วงลงมาทำระดับต่ำสุดใหม่รอบ 20 เดือนบริเวณ 2.125% ในช่วงต้นตลาดก่อนจะทรงตัวได้ที่ 2.135% ขณะที่อัตราผลตอบแทนอายุ 3 เดือนยังคงยืนเหนือที่ 2.351% ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี ปรับร่วงลงมาทำต่ำสุดตั้งแต่ม.ค. ปี 2018 ที่ 1.926%
· รัฐบาลจีนมีการออกเอกสารที่ระบุว่า ปัญหาทางการค้าที่กำลังเกิดขึ้นมีต้นเหตุมาจากสหรัฐฯ เนื่องจากสหรัฐฯเป็นผู้เจรจาที่เชื่อถือไม่ได้ แม้ทางรัฐบาลจีนต้องการที่จะให้การเจรจาดำเนินไปอย่างเท่าเทียม และได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็ตาม ข้อความดังกล่าวที่ระบุในเอกสารบ่งชี้ถึงความแตกแยกทางการเจรจาการค้าที่ทั้งสองฝ่ายที่ต่อกัน
ขณะที่รองรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีนกล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-จีนในช่วงเดือนที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้า มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมของสหรัฐฯ และไม่มีการยืนยันว่านายสี จิ้นผิง นายกรัฐมนตรี และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะพบกันในที่ประชุม G20 หรือไม่ แต่ได้ยืนยันว่าจีนจะส่งตัวแทนไปร่วมการประชุมดังกล่าว ที่จะจัดขึ้นในญี่ปุ่นช่วงปลายเดือนนี้
· รายงานจาก Financial Times ระบุว่า ความตึงเครียดทางการค้าครั้งใหม่ระดับโลกได้ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมการบินมีการปรับลดภาพรวมผลกำไรปีนี้ลง โดยเฉพาะผลกระทบจากกรณี Trade War สหรัฐฯและจีน
โดยสายการบิน The International Air Transport Association ตัดลดภาพรวมภาคอุตสาหกรรมการบินลงเหลือเพียง 2.8 หมื่นล้านเหรียญในปีนี้ จากคาดการณ์เดิมช่วงเดือนธ.ค. ที่มองว่าปีนี้จะเติบโตได้ 3.55 หมื่นล้านเหรียญ และอาจปรับลงอีก 7% จากปี 2018
· รายงานจาก Morgan Stanley กล่าวว่า กลุ่มนักลงทุนกำลังตอบรับกับท่าทีคุกคามทางการค้าของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่เกิดขึ้น ที่อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยข้อพิพาททางการค้าอาจยืดเยื้อมากขึ้นและดูจะกระทบต่อแนวโน้มของเศรษฐกิจระดับมหพภาค
· สำนักข่าวซินหัวของจีน ระบุว่า ดูเหมือนทางการจีนจะใช้ FedEx บริษัทด้านบริการจัดส่งพัสดุรายใหญ่ของสหรัฐฯที่มีกลุ่มลูกค้าชาวจีนจำนวนมากใช้บริการมาตอบโต้สงครามการค้าจากกรณีที่สหรัฐฯใช้บริษัทหัวเว่ยมาต่อรองในเรื่องสงครามการค้า
· รายงานจาก Reuters ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯและเม็กซิโกกำลังเตรียมการสำหรับการเจรจาระหว่างตัวแทนของทั้งสองประเทศ เพื่อเจรจาหาข้อตกลงและหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางการค้า หลังจากสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกทุกรายการ เนื่องจากสหรัฐฯไม่ถึงพอใจกับการอพยพเข้าประเทศอย่างผิดกฏหมาย
โดยนางกราเซียล่า มาร์เควส รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจแห่งเม็กซิโก จะพบกับนายวิลบอร์ รอส รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์แห่งสหรัฐฯ ภายในวันจันทร์นี้
· ประธานาธิบดีเม็กซิโกยืนยันว่ารัฐบาลจะมีการตอบโต้นโยบายภาษีของสหรัฐฯ “อย่างรอบคอบ” พร้อมระบุว่า รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งเม็กซิโก จะมีการเดินทางเยือนสหรัฐฯในเร็วๆนี้ เพื่อพยายามโน้มน้าวให้สหรัฐฯมองเห็นว่า การขึ้นภาษีเม็กซิโกไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายใด
นอกจากนี้ ทางเม็กซิโกยังคงมีแผนที่จะให้การสนับสนุนข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโกอยู่ แม้จะเผชิญกับการขึ้นภาษีก็ตาม
ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า บรรดาผู้ประกอบการของสหรัฐฯที่มีแห่ลงผลิตตั้งอยู่ในเม็กซิโก จะได้รับผลกระทบจากนโยบายขึ้นภาษีส่งผลให้มีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ซึ่งมีนักวิเคราะห์รายหนึ่งมองว่า General Motors อาจสูญเสียผลประกอบการไปมากกว่าหลายร้อยล้านเหรียญ
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีการกล่าวถึงกรณี Brexit และการประกาศลาออกของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ระหว่างการเดินทางเยือนอังกฤษของเขา โดยเสนอแนะให้ผู้นำคนใหม่ของอังกฤษพาอังกฤษออกจากอียูแบบ No-deal หากทางอียูไม่สามารถตอบสนองข้อเรียกร้องของอังกฤษ
นอกจากนี้ นายทรัมป์ยังมองว่า ผู้ที่เหมาะสมที่จะเข้ามารับตำแหน่งผู้นำอังกฤษคนต่อไปมากที่สุด คือนายบอริส จอห์นสัน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ
· รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจแห่งอิตาลีแสดงความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกับอียู เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรจากอียูจากกรณีปัญหาทางการเงินในประเทศได้
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ก่อน อียูมีการส่งจดหมายถึงรัฐบาลอิตาลี โดยระบุให้รัฐบาลอิตาลีเร่งหาคำอธิบายว่าสาเหตุใดระดับหนี้สินสาธารณะของอิตาลีถึงเพิ่มสูงขึ้นในปี 2018 แทนที่จะปรับลดลงตามข้อตกลงระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย จึงอาจนำไปสู่ความขัดแย้งภายในรัฐบาลอิตาลีกับฝ่ายที่ไม่สนับสนุนอียู
· ผลการสำรวจ แสดงให้เห็นว่า ข้อมูลภาคการผลิตของเกาหลีใต้ประจำเดือนพ.ค.หดตัวเร็วที่สุดในรอบ 3 เนื่องจากคำสั่งซื้อใหม่ที่ลดลงท่ามกลางข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
ยอดส่งออกใหม่ปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว นับเป็นการลดลงติดต่อกัน 10 เดือนซึ่งลดลงยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2015 ขณะที่ยอดคำสั่งซื้อใหม่ยังหดตัวเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน ที่ระดับ 47.1 ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอุปสงค์ในประเทศจะลดลงอีก
ผลสำรวจชี้ดัชนี PMI ภาคการผลิตเกาหลีใต้ ยังแสดงให้เห็นว่า ผู้ผลิตลดจำนวนพนักงานลงเนื่องจากการผลิตลดลง ท่ามกลางความต้องการที่อ่อนแอทั้งในและต่างประเทศ
ด้านอัตราการว่างงานประจำเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 4.1% สู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน ซึ่งใกล้เคียงกับระดับสูงสุดในรอบ 9 ปีที่ระดับ 4.4% ในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากมีการจ้างงานในภาคการผลิตและการก่อสร้าง
ทั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า บริษัทของเกาหลีใต้กำลังปรับแผนการผลิตในอนาคต ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลง หลังจากทีเดือนพ.ค. เป็นเดือนที่ร่วงลงมากที่สุดในรอบ 6 เดือน หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯดูจะจุดประกายความตึงเครียดทางการค้าระดับโลกอีกครั้ง ด้วยการคุกคามจะขึ้นภาษีสินค้าทั้งหมดของเม็กซิโก ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่ค้าคนสำคัญของสหรัฐฯ และกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่
น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับลง 2.4 เหรียญ หรือ -3.59% ที่ 64.49 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิด -5.5% ที่ระดับ 53.50 เหรียญ/บาร์เรล