· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงหลังจากที่ นายเจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจได้รับการเห็นชอบในเร็วๆนี้ หากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจยังเพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากสงครามการค้า ควบคู่กับการอ่อนตัวของเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ดี นายบุลลาร์ด ยังระบุว่า เฟดอาจไม่สามารถรับมือได้กับทุกๆการเปลี่ยนแปลงจากกรณีความบาดหมางที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงที่สหรัฐฯมีการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้ารอบใหม่จากทางเม็กซิโก ที่ดูจะยิ่งทำให้เกิดสภาวะความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น และอาจกดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯได้ ในขณะที่เศรษฐกิจโลกก็มีท่าทีชะลอตัว
นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากข้อมูลกิจกรรมภาคการผลิตของสหรัฐฯในเดือนพ.ค. (ISM Manufacturing PMI) ที่ออกมาแย่กว่าคาดที่ระดับ 52.1 จุด และลงจากเดิมในเดือนก่อนหน้าที่ 52.8 จุด จึงถือว่าอ่อนตัวลงมากที่สุดในรอบกว่า 2 ปี และยิ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.56% ที่ระดับ 97.2 จุด หรือปรับขึ้นไปประมาณ 1% ปีนี้ ด้านค่าเงินเยนแข็งค่าที่สุดนับตั้งแต่ 10 ม.ค. ที่ระดับ 107.88 เยน/ดอลลาร์
· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปรับตัวลงต่ำกว่า 2.07% ในวันทำการแรกของเดือนนี้ อันเป็นผลจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกที่ฉุดให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯดิ่งลงมากที่สุดตั้งแต่ ก.ย. ปี 2017
อัตราผลตอบแทนระยะยาวอายุ 10 ปี ทรุดมาทำต่ำสุดรอบ 20 เดือน ที่ 2.067% ขณะที่อัตราผลตอบแทน 30 ปี ปรับลงมาแถว 2.53% ขณะที่อัตราผลตอบแทนระยะสั้นอายุ 3 เดือนเคลื่อนไหวแถว 2.3%
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ที่กล่าวในเชิงการปรับลดดอกเบี้ย จากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโลกอันเป็นผลจากตึงเครียดการค้าด้วย
ภาพรวมเดือนพ.ค. อัตราผลตอบแทนระยะสั้นและระยะยาวมีการเคลื่อนไหวผกผันกัน โดยผลตอบแทนอายุ 10 ปี ดิ่งลงมาแล้วประมาณ 2.5% และการผกผันดังกล่าวดูจะส่งสัญญาณให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังจะเกิดขึ้น
· นักวิเคราะห์จาก J.P.Morgan และ Morgan Stanley ต่างมองว่า สหรัฐฯและจีนไม่น่าสามารถหาข้อตกลงทางการค้าได้ภายในการประชุม G-20 ที่จะจัดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นปลายเดือนนี้ แม้จะมีความเป็นไปได้ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน จะสามารถพบกันโดยตรงในการประชุมดังกล่าวได้ก็ตาม
นอกจากนี้บรรดานักวิเคราะห์มองว่า ความขัดแย้งการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนลงลึกไปเกินกว่าที่จะสามารถหาข้อตกลงกันได้ อย่างน้อยก็เฉพาะในระยะสั้น
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะพยายามโน้มน้าวนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ให้เห็นด้วยกับการเลี่ยงใช้งานอุปกรณ์สื่อสารของ Huawei รวมถึงร่วมมือกับสหรัฐฯในการกดดันบริษัทโทรคมนาคมของจีน ในการเดินทางเยือนอังกฤษวันที่สองของเขาในวันนี้
· ธนาคารกลางออสเตรเลียจะมีการประชุมขึ้นในวันนี้ ซึ่งตลาดคาดการณ์เป็นวงกว้างว่าทางธนาคารฯจะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 1.25% ซึ่งจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 3 ปี ท่ามกลางภาวะอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัว และอัตราว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก โดยเฉพาะจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ขณะที่ผลการประชุมน่าจะออกมาในช่วงเวลาประมาณ 11.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลงหลังจากที่ทางซาอุดิอาระเบีย มีการกล่าวว่ากลุ่มโอเปกร่วมด้วยรัสเซียอาจขยายเวลาปรับลดน้ำมันออกไปเพื่อสนับสนุนราคาน้ำมัน ขณะที่ความกังวลเรื่องสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และสหรัฐฯ-เม็กซิโก ดูจะบั่นทอนให้อุปสงค์ความเชื่อมั่นในตลาดน้ำมันอ่อนตัว
ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับลง 25 เซนต์ ที่ 53.25 เหรียญ/บาร์เรล โดยปรับลงไปกว่า 0.5% ปิดระดับต่ำสุดตั้งแต่ 12 ก.พ. หลังจากที่ระหว่างวันไปทำ High ที่ 54.63 เหรียญ/บาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 71 เซนต์ หรือ -1.2% ที่ 61.28 เหรียญ/บาร์เรล และยังคงเป็นการปิดระดับต่ำสุดรอบ 4 เดือน โดยราคาดิ่งลงไปกว่า 3% ในคืนวันศุกร์ ซึ่งส่งผลให้เดือนพ.ค. เป็นรายเดือนที่ดิ่งลงหนักที่สุดในรอบ 6 เดือน
ภาพรวมราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงมาแล้วเกือบ 20% จากระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2018 จากการที่กลุ่มโอเปกและรัสเซียมีการปรับลดกำลังการผลิต ควบคู่กับการที่อิหร่านและเวเนซุเอลาถูกคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันจากทางสหรัฐฯ