หลังจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนได้ดำเนินมากกว่า 1 ปี นักวิเคราะห์จากสถาบัน Nomura พบว่า การที่ทั้งสองประเทศตอบโต้กันด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากกันและกัน ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายพยายามเลี่ยงการนำเข้าสินค้าของฝ่ายตรงข้าม และเพิ่มการนำเข้าจากแหล่งอื่นๆที่ไม่ถูกขึ้นภาษีแทน โดยเฉพาะจาก เวียดนาม
เวียดนามกลับกลายเป็นประเทศที่ได้รับผลประโยชน์จากสงครามการค้าครั้งนี้มากที่สุด โดยนักวิเคราะห์จาก Nomura คาดการณ์ว่า GDP ของเวียดนามจะสามารถขยายตัวได้ถึง 7.9% จากปริมาณการส่งออกไปยังสหรัฐฯและจีนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
นอกจากเวียดนามแล้ว Nomura ยังกล่าวถึงประเทศอื่นๆที่ได้ผลประโยชน์จากสงครามการค้า ได้แก่ ไต้หวัน ชิลี มาเลเซีย และอาร์เจนตินา
สำหรับรายการสินค้าหลักๆ ที่สหรัฐฯและจีนนำเข้าจากกลุ่มประเทศดังกล่าว มีดังนี้:
· เวียดนาม : ชิ้นส่วนโทรศัพท์, เฟอร์นิเจอร์, ชิ้นส่วนเครื่องจักรในโรงงาน
· ไต้หวัน : ชิ้นส่วนเครื่องพิมพ์ดีด, เครื่องจักรในสำนักงาน, ชิ้นส่วนโทรศัพท์
· ชิลี : แร่ทองแดง, เมล็ดถั่วเหลือง
· มาเลเซีย: แผงวงจรอิเล็คโทรนิค, อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์
· อาร์เจนตินา: เมล็ดถั่วเหลือง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะได้รับผลประโยชน์จากการส่งออกสินค้าที่มากขึ้น แต่ Nomura ได้เตือนว่า การคาดการณ์ดังกล่าวยังไม่ได้รวมความเสี่ยงด้านอื่นๆจากสงครามการค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงทุนที่ชะลอตัวลง เนื่องจากความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจโลก และปริมาณอุปสงค์จากสหรัฐฯและจีนที่อ่อนแอลง เนื่องจากผู้ประกอบการและผู้บริโภคประสบภาวะค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากการขึ้นภาษี
ที่มา: CNBC