· ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวลงไปใกล้ระดับต่ำสุดรอบ 7 เดือน หลังจากที่บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดประสานเสียงกันถึงความเป็นไปได้ที่จะปรับลดดอกเบี้ยจากการเผชิญกับความเสี่ยงทางการค้าและการขยายตัวต่อเศรษฐกิจโลก
ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวแถว 97.077 จุด หลังไปทำต่ำสุดตั้งแต่ 18 เม.ย. เมื่อคืนนี้ที่ 96.995 จุด และภาพรวมดัชนีดอลลาร์ร่วงลงแล้ว 1.3% จากระดับสูงสุดรอบกว่า 2 ปี ที่ 98.371 จุดเมื่อ 23 พ.ค.
· หัวหน้านักกลยุทธ์ค่าเงินจาก Mizuho Securities กล่าวว่า ตลาดการเงินตอบรับกับถ้อยแถลงของประธานเฟดที่ดูจะส่งผลให้นักลงทุนรับรู้ถึงโอกาสที่จะเห็นเฟดปรับลดดอกเบี้ย เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจจากภาวะการเติบทางเศรษฐกิจโลก
เพราะนอกจากประธานเฟดแล้ว ยังจะเห็นได้จากประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ที่ได้กล่าวไว้ว่าการปรับลดดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นเร็วๆนี้ และการปรับลดดอกเบี้ยของบางธนาคารกลางที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นสัญญาณเริ่มต้นว่าภาวะเศรษฐกิจเผชิญกับขาลงและต้องใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินมารับมือ ในขณะที่ความตึงเครียดทางการค้าของสหรัฐฯ-จีน และสหรัฐฯ-เม็กซิโก ที่ยังดำเนินไป
· ค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย 0.1% ที่ระดับ 1.1260 ดอลลาร์/ยูโร โดยเป็นการปรับแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน 4 วันทำการ
· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯระยะสั้นหลังจากที่ข้อมูลจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐฯออกมาแย่กว่าคาดอย่างมากในเดือนพ.ค. โดยภาคบริษัทมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 27,000 ตำแหน่ง สำหรับเมื่อวานนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีทรงตัวแถว 2.12% ขณะที่อัตราผลตอบแทนอายุ 2 ปี ปรับลงมาที่ 1.839%
ทั้งนี้ ข้อมูลจ้างงานดังกล่าวดูเหมือนจะแย่ที่สุดนับตั้งแต่ที่เศรษฐกิจเริ่มมีการจ้างงานที่ขยายตัวมาตั้งแต่มี.ค. ปี 2010
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า การประชุมระหว่างสหรัฐฯและเม็กซิโกเมื่อวานนี้ยังคงล้มเหลวในการหาข้อตกลงร่วมกันในเรื่องกลุ่มผู้อพยพที่เป็นประเด็นกันอยู่ โดยการประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่สหรัฐฯจะทำการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดจากเม็กซิโกอีก 5% ในวันที่ 10 มิ.ย.นี้
ขณะที่ล่าสุดนายทรัมป์ทวิตเตอร์ข้อความที่ระบุว่า สหรัฐฯจะทำการลงโทษเม็กซิโกจนกว่าเม็กซิโกจะแก้ไขกฎหมายสำหรับกลุ่มผู้อพยพอย่างผิดกฎหมายที่เข้ามาในเม็กซิโกตลอดจนสหรัฐฯ ขณะที่ความคืบหน้าในการหารือยังคงไม่เพียงพอ ซึ่งนายทรัมป์ เผยว่า จะมีการเจรจากันต่อในวันนี้ และหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ เม็กซิโกก็จะเผชิญกับการขึ้นภาษีที่จะเริ่มขึ้นในวันจันทร์นี้
· รายงานจาก IMF ระบุว่า สงครามทางการค้าที่เกิดขึ้นกำลังคุกคามภาวการณ์เติบโตทางเศรษฐกิจจีน ดังนั้น IMF จึงหั่นคาดการณ์เศรษฐกิจจีนปีนี้ลงสู่ 6.2% จากคาดการณ์เดิมที่ 6.3% นอกจากนี้สงครามการค้าของสหรัฐฯ-จีนดูจะทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวลดลงไป 0.5% ในปี 2020 หรือคิดเป็นมูลค่า 4.55 แสนล้านเหรียญ เทียบเท่ากับขนาดเศรษฐกิจของประเทศแอฟริกาใต้ทั้งหมด
นอกจากนี้ นางคริสติน ลาร์การ์ด ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ ยังระบุว่า ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจาก Trade War ของการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าระหว่างสหรัฐฯและจีนนั้นดูจะส่งผลให้ภาคการลงทุน, การเติบโต และประสิทธิผลปรับลดลง ตลอดจนการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีกับเม็กซิโกก็ดูจะสร้างความกังวลเพิ่มขึ้นด้วย
ทางด้าน IMF ยังระบุถึงปัญหาหนี้สินของอิตาลีที่ดูจะเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของเศรษฐกิจยูโรโซน ร่วมกับความตึงเครียดทางการค้าระดับโลก รวมทั้งปัญหา Hard Brexit ด้วย
· สหรัฐฯเตรียมขายอาวุธและรถถังให้กับไต้หวันเป็นมูลค่ากว่า 2 พันล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่อาจสร้างความไม่ถึงพอใจใหักับจีน ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯที่กำลังบานปลาย
ขณะที่ทางไต้หวันมีความสนใจที่จะเข้าซื้ออาวุธจากสหรัฐฯเพื่อเสริมกำลังทางทหารของตนมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
· ราคาน้ำมันดิบปิดร่วงทำระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนม.ค. หลังรายงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) ระบุถึงการเพิ่มขึ้นเกินคาดของสต๊อกน้ำมันดิบที่ 6.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว แม้ว่าปริมาณการกลั่นน้ำมันและยอดส่งออกน้ำมันจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านบาร์เรล/วันก็ตาม
ขณะที่ช่วงสายวานนี้ API หรือภาคเอกชนเผยสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯเพิ่มเกินคาด 3.5 ล้านบาร์เรล ผิดจากที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะเห็นสต๊อกน้ำมันดิบจะปรับลงที่ 849,000 บาร์เรล
· น้ำมันดิบ WTI ปรับลงทำระดับต่ำสุด 50.66 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นต่ำสุดตั้งแต่ 15 ม.ค. ก่อนจะปิดลง 1.8 เหรียญ ที่ระดับ 1.8 เหรียญ ที่ระดับ 51.68 เหรียญ/บาร์เรล หรือลงไปประมาณ 3.4% ถือเป็นระดับราคาปิดต่ำสุดในรอบเกือบ 5 เดือน
น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับลงทำต่ำสุดบริเวณ 59.45 เหรียญ/บาร์เรล เป็นต่ำสุดตั้งแต่ช่วงกลางเดือนม.ค. ก่อนจะปิดลง 1.31 เหรียญ หรือ -2.1% ที่ 60.66 เหรียญ/บาร์เรล