• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2562

    11 มิถุนายน 2562 | Economic News


· ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนครึ่ง ท่ามกลางกระแสคาดการณ์เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่มากขึ้น ขณะที่ตลาดยังมีความไม่มั่นใจก่อนหน้าการประชุม G-20 ที่จะเกิดขึ้นปลายเดือนนี้

โดยตลาดคาดการณ์โอกาส 20% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย. นี้ แต่คาดโอกาสเกือบ 100% ที่จะปรับลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ค. ขณะที่การประชุมเฟดเดือนนี้ จะเกิดขึนภายในสัปดาห์หน้า

ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวแถว 96.80 จุด เคลื่อนไหวใกล้ระดับ 96.46 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของเดือน มี.ค. สำหรับภาพรวมเดือน ดัชนีดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลงมาแล้วกว่า 1%

ถ้อยแถลงเชิงผ่อนคลายทางการเงิน และตัวเลจทางเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาค่อนข้างอ่อนแอเมื่อไม่นานมานี้ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คิด ขณะที่ตลาดยังให้ความสนใจไปยังการประชุม G-20 ที่ประเทศญี่ปุ่น วันที่ 28-29 เดือนนี้ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯพร้อมที่จะขึ้นภาษีจีนอีกครั้ง และจะมีผลบังคับใช้ทันที หากการประชุมร่วมกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดี ระหว่างการประชุม G-20 วันที่ 28-29 เดือนนี้ ไร้ความคืบหน้า

· ประธานสถาบัน Consumer Technology Association กล่าวเตือนว่า หากสหรัฐฯยังเดินหน้าขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เศรษฐกิจสหรัฐฯมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ “ภาวะชะลอตัวที่เกิดจากฝีมือทรัมป์” (Trump recession)

เนื่องจากการขึ้นภาษีจะสร้างผลกระทบต่อผู้ประกอบและผู้บริโภคในสหรัฐฯเสียเอง พร้อมเตือนว่า บรรดานักเศรษฐกิจส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับท่าทีคุมเข้มทางการค้าของทีมบริหารทรัมป์

· ศาสตราจารย์จาก Bucknell University มีมุมมองว่า ท่ามกลางภาวะที่ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนกำลังบานปลาย จุดยืนของไต้หวัน ที่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน จะเริ่มเข้ามามีบทบาทต่อการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-จีนมากขึ้น

โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สหรัฐฯมีการขายอาวุธให้กับไต้หวันอย่างต่อเนื่อง และสร้างความไม่พึงพอใจให้กับจีนเป็นอย่างมาก ซึ่งทางกระทรวงต่างประเทศของจีนก็ได้ประกาศว่าจะต่อต้านการพบกันโดยตรงระหว่างตัวแทนของสหรัฐฯและไต้หวัน

· ขณะที่นักวิเคราะห์ด้านการกลาโหมจากสถาบัน RAND Corporation มีมุมมองว่า แนวโน้มที่จีนจะลงมือ “ขั้นเด็ดขาด” กับความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน-สหรัฐฯ กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ

อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญระหว่างความสัมพันธ์ดังกล่าว อาจจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีของไต้หวันในเดือน ม.ค. ปี 2020 โดยหากนาง ไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐไต้หวัน ได้รับการรับเลือกให้ดำรงตำแหน่งอีกครั้ง ความสัมพันธ์ของทั้ง 3 ประเทศอาจขยายรุนแรงตลอดช่วงปี 2020 – 2024

หากต้องการให้ความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ขยายตัวรุนแรง ต้องจับตาว่าตัวแทนจากพรรค KMT ของไต้หวันจะสามารถชิงตำแหน่งผู้นำไต้หวันได้หรือไม่ เนื่องจากพรรค KMT เป็นฝ่ายที่เห็นด้วยกับนโยบาย “One China” ของรัฐบาลจีน จึงอาจช่วยป้องกันไม่ให้ความสัมพันธ์ดังกล่าวร้าวฉานไปมากกว่านี้

· ศึกชิงตำแหน่งผู้นำอังกฤษเริ่มต้นขึ้นแล้วในสัปดาห์นี้ หลังจากที่นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก้าวลงจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ท่ามกลางภาวะการเมืองของอังกฤษที่ดูจะซบเซาไร้ความคืบหน้ามากทีสุดในช่วงนี้

ขณะที่นายบอริส จอห์นสัน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศและผู้ว่าเมืองลอนดอน ยังคงเป็นตัวเต็งในบรรดาผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้นำอังกฤษคนต่อไป

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางตลาดการเงินที่แข็งแกร่งและแรงหนุนจากกระแสคาดการณ์การปรับลดกำลังผลิตของกลุ่มโอเปกและผู้ผลิตรายอื่นๆ

โดยราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 0.4% ที่ระดับ 62.56 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.9% ที่ระดับ 53.75 เหรียญ/บาร์เรล

ขณะที่ในช่วงก่อนหน้านี้ราคาปรับตัวลงไปประมาณ 1% และสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าลดลง 20% จากช่วงปลายเดือนเม. ย.ปี 2019 ซึ่งเป็นช่วงขาลงเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริโภคน้ำมัน


ทั้งนี้ เหล่าเทรดเดอดร์ ระบุว่า สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของตลาดการเงินหลังจากที่ทางการจีนได้เรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นและสถาบันการเงินใช้พันธบัตรพิเศษและเครื่องมือทางการเงินแบบอิงตลาดประเภทอื่นๆ ในการสนับสนุนโครงการต่างๆที่สำคัญเพื่อยับยั้งการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ




บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com