นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงคลังสหรัฐฯ เชื่อว่า การประกาศคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่กำลังได้ผล เมื่อพิจารณาจากการตอบโต้ของบรรดากลุ่มผู้นำอิหร่าน
โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารดำเนินมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านรอบใหม่ ซึ่งเป็นมาตรการเพิ่มเติม โดยมีเป้าหมายที่ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน เพื่อตอบโต้ที่โดรนสอดแนมถูกอิหร่านยิงตกในช่องแคบฮอร์มุซ โดยทรัมป์ ยังเตือนว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดเป็นการแสดงถึงการตอบสนองอย่างรุนแรงและเหมาะสม ต่อพฤติการณ์ยั่วยุที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ของอิหร่าน และสหรัฐฯ จะเพิ่มแรงกดดันต่อรัฐบาลเตหะรานต่อไป
ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านได้ตอบโต้โดยกล่าวถึงผู้ช่วยระดับสูงของทรัมป์ว่า พวกเขา "เกลียดชังการทูตและกระหายสงคราม"
สหรัฐฯจะคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของอิหร่านเกือบ 100%
ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่านเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ปี 2018 เมื่อทรัมป์ได้ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ในปี 2015 เพื่อควบคุมโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านแลกเปลี่ยนกับการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร
ทั้งนี้ นายมนูชิน ระบุว่า "นายทรัมป์มีความต้องการที่จะเจรจากับอิหร่าน แต่ในเดียวกันก็มีความต้องการจะแสดงจุดยืนของสหรัฐฯและพันธมิตรที่ต่อต้านการกระทำของพวกเขาอย่างแข็งกร้าว"
เมื่อถูกสอบถามว่า สหรัฐฯจะหมดเครื่องมือที่ใช้ในการคว่ำบาตรอิหร่านหรือไม่ นายมนูชินตอบว่า "ไม่คิดจะเกิดขึ้น"
ก่อนหน้า นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งสหรัฐฯ ระบุว่า 80% ของเศรษฐกิจอิหร่านกำลังตกอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตร
ซึ่งนายมนูชิน ได้กล่าวเสริมว่า สหรัฐฯจะเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรจนกว่าตัวเลขนั้นจะถึง 100% ขณะที่ทำเนียบขาวก็จะคำนึงถึง "สิทธิมนุษยชน" เพื่อไม่ให้กระทบกับวิถีชีวิตของชาวอิหร่าน
"ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว มีความเลวร้ายอย่างมาก เนื่องจากพวกเขากำลังให้การสนับสนุนการก่อการร้าย สร้างความไม่มั่นคงภายในภูมิภาคนั้นๆ และเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯและพันธมิตรของเรา จึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมได้"