· ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวท่ามกลางการซื้อขายที่ยังเคลื่อนไหวใกล้ระดับต่ำสุดรอบ 1 สัปดาห์เมื่อเทียบค่าเงินเยน และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวลงจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะทำการปรับลดดอกเบี้ยในเดือนนี้เป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษ ขณะที่ตลาดเริ่มลดมุมมองการแก้ไขปัญหาทางการค้าของสหรัฐฯและจีนที่น่าจะหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกันได้อย่างรวดเร็ว ที่ดูจะเป็นปัจจัยลบต่อดอลลาร์เช่นกัน
นอกจากนี้ ตลาดยังให้ความสนใจไปยังข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯที่จะประกาศคืนวันศุกร์นี้ ซึ่งถึงแม้ข้อมูลจะออกมาดีก็ดูเหมือนจะไม่หนุนให้ดอลลาร์ปรับตัวได้ เนื่องจากยังมีแรงของกระแสเฟดลดดอกเบี้ยเป็นปัจจัยหลัก เพื่อมารับมือกับเงินเฟ้อระดับต่ำ รวมทั้งผลกระทบจากการขึ้นภาษีสินค้าระหว่างกันของสหรัฐฯและจีน
· ค่าเงินเยนทรงตัวที่ 107.8 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่ดอลลาร์ร่วงลงแล้ว 3.5% ท่ามกลางสัญญาณที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุม 30-31 ก.ค.
· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี อ่อนตัวลงแตะระดับต่ำสุดตั้งแต่พ.ย. ปี 2016 ที่ 1.939% ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ปรับลงมาแถว 96.734 จุด
· ภารกิจเกาหลีเหนือตลอดจนนานาชาติมีการกล่าวตำหนิสหรัฐฯที่ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการใช้มาตรการคว่ำบาตร ที่อาจมีการดำเนินการเพิ่มมากขึ้นเพื่อตอบโต้กับทางเกาหลีเหนือได้
ทั้งนี้ตัวแทนจากเกาหลีเหนือใน UN กล่าวว่า เกาหลีเหนือมีการตอบกลับจดหมายที่ส่งถึงทางชาติสมาชิก UN ในช่วงปลายเดือนที่แล้ว จากกรณีที่สหรัฐฯ รวมทั้งอังกฤษ, เยอรมนี และฝรั่งเศส ที่เรียกร้องให้นานาประเทศทำการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือ
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวตำหนิจีนและยุโรปที่มีการดำเนินการปรับลดค่าเงินตัวเอง จึงยิ่งเพิ่มความกังวลว่าอาจเห็นสหรัฐฯย้ำถึงการคุกคามขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากทางยุโรปได้
โดยเมื่อวานนี้ นายทรัมป์ระบุทางทวิตเตอร์ว่า จีนและยุโรปกำลังเล่นเกมครั้งใหญ่ทางด้านค่าเงิน รวมทั้งปั๊มเงินเข้าสู่ระบบเพื่อแข่งขันกับทางสหรัฐฯ จึงขอเรียกร้องให้ทางเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายมีการผ่อนคลายเรื่องดังกล่าว
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก ING กล่าวว่า การที่นายทรัมป์ตำหนิเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายค่าเงินยุโรป สะท้อนถึงสัญญาณที่สหรัฐฯจะขึ้นภาษีทางอียู และดูจะทำให้ความตึงเครียดทางการค้ากับยุโรปและสหรัฐฯมีความร้อนแรงมากยิ่งขึ้น
· CEO ของสมาคมภาคอุตสาหกรรม กล่าวว่า ข้อพิพาทการค้าสหรัฐฯและจีนดูจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ส ขณะที่ความรุนแรงของสงครามการค้าในช่วงกว่า 1 ปีมานี้ จะเห็นได้ว่า มีการขึ้นภาษีระหว่างกันไปแล้วจำนวนมหาศาล ซึ่งดูจะมีผลระยะยาวต่อภาวะห่วงโซ่อุปทาน, ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งเป็นภัยคุกคามต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนการขึ้นภาษีจะไม่ใชตัวแปรหลักที่ฉุดให้ภาคอุตสาหกรรมชะลอตัว แต่ก็ไม่ถือว่าปีนี้เป็นปีที่ดีมากต่อเม็ดเงินลงทุนจำนวนมาก เนื่องจากยังดูเหมือนภาคเซมิคอนดัคเตอร์ส แท้จริงแล้วยังค่อนข้างอยู่ในทิศทางเชิองบวก
· รายงานจาก CNBC ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ที่ได้พบกันในสัปดาห์ที่แล้วค่อนข้างเป็นไปในทิศทางเชิงบวก แต่หลายๆสำนักหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนกลับมีมุมมองว่า จีนดูเหมือนจะมีอำนาจเหนือกว่าในสงครามการค้าครั้งนี้
หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนในสินทรัพย์ของ Fasanara Capital กล่าวว่า ดูเหมือนจีนจะเป็นผู้ชนะศึกตั้งแต่กรารประชุม G20 ซึ่งก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการยอมต่อข้อตกลงทั้งหมด และยังปราศจากข้อตกลงใดๆในการประชุมที่ผ่านมาของสองประเทศ
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงมากกว่า 0.5% ซึ่งถูกกดดันจากข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่ออกมาน้อยกว่าที่คาดและความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 1% ที่ระดับ 63.21 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 1% เช่นเดียวกันที่ระดับ 56.78 เหรียญ/บาร์เรล
ทั้งนี้ รายงานของ EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวลดลง 1.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 28 มิ.ย. ซึ่งแม้ว่าน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง 3.7 ล้านบาร์เรล แต่สต็อกน้ำมันดิบก็ปรับตัวลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3