· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น ท่ามกลางแรงหนุนจากตัวเลขการจ้างานนอกภาคเกษตรที่ออกมาสดใส จึงลดกระแสคาดการณ์เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในกาปรระชุมเดือนนี้ลง
ตัวเลขการจ้างานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯประกาศออกมาสูงขึ้นในเดือน มิ.ย. ที่ 224,000 ตำแหน่ง มากกว่าที่คาดไว้ที่ 160,000 ตำแหน่ง
การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาสดใส ทำให้ตลาดลดกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.5% ในการประชุมปลายเดือน ก.ค. นี้ แต่การปรับขึ้นของตัวเลขการจ้างงาน เป็นเพียงการปรับขึ้นในระดับปานกลาง ทำให้กระแสความกังวลว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวยังคงมีอยู๋ และอาจหนุนให้เฟดปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ได้
ดัชนีดอลลาร์ทำระดับสูงสุดเมื่อวันศุกร์หลังการประกาศตัวเลขที่ระดับ 97.443 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของวันที่ 19 มิ.ย. ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯต่างปรับเพิ่มสูงขึ้น ก่อนที่ดัชนีจะย่อตัวลงมาทรงตัวแถว 97.215 จุด ในช่วงตลาดวันนี้
· ด้านค่าเงินยูโรถูกกดดันลงมาทรงตัวแถว 1.1226 ดอลลาร์/ยูโร หลังการประกาศตัวเลขภาคอุตสาหกรรมเดือน พ.ค. ของเยอรมนีปรับลดลงมากกว่าที่คาด รวมถึงการที่รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของเยอรมนีออกมาเตือนว่า เศรษฐกิจอาจอยู่ในภาวะเช่นนี้ต่อไปอีกหลายเดือนข้างหน้า
Technical Levels
OVERVIEW
Today last price 1.1228
Today Daily Change 0.0002
Today Daily Change % 0.02
Today daily open 1.1226
TRENDS
Daily SMA20 1.1251
Daily SMA50 1.1221
Daily SMA100 1.1261
Daily SMA200 1.1351
ในส่วนของปัจจัยที่ต้องติดตาม คือข้อมูลการผลิตเยอรมนี ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของยุโรป ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนี โดยจากข้อมูลล่าสุดถูกคาดว่ากิจกรรมภาคการผลิตนั้นจะอ่อนตัวลงสู่ระดับ 0.4% เมื่อเทียบรายเดือนในเดือนพ.ค. หรือร่วงลง 1.9% ขณะที่ภาพรายปีดูจะหดตัวที่ 1.1% ในเดือนพ.ค.หลังจากที่ดิ่งไป 1.8% ในเดือนก่อนหน้า
ยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงานของเยอรมนีเดือนพ.ค. ก็ดูจะออกมาแย่ลงแตะระดับ 8.6% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งถือเป็นระดับการร่วงลงมากที่สุดในรอบเกือบทศวรรษ จึงเป็นการบ่งชี้ถึงผลกระทบเชิงลบจาก Trade War ที่มีผลต่อเศรษฐกิจของเยอรมนีนั่นเอง
· การเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคงของสกุลเงินดิจิทัลได้ทำให้ผู้นำทางการเงินหลายราย เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อบิทคอยน์ โดยเฉพาะนางคริส ทีน ลาร์การ์ด ประธาน IMF ที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งประธาน ECB ต่อจากนายมาริโอ ดรากี้ ประธานคนปัจจุบัน ที่จะหมดวาระลงในเดือน ต.ค. การรับตำแหน่งของนางลาร์การ์ดอาจทำให้ธนาคารกลางยุโรปเปลี่ยนมุมมองและจุดยืนมาเป็นมิตรมีต่อสกุลเงินดิจิทัลซึ่งจะยิ่งหนุนให้อุตสาหกรรมกลุ่มนี้เติบโตได้ดียิ่งขึ้น
นางลาร์การ์ดเคยกล่าวถึงเทคโนโลยี Blockchain ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ควรมองข้าม และเธอยังให้การสนับสนุนสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยรัฐวิสาหกิจ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมตลาดเงินดิจิทัล ถึงดูตื่นเต้นกับการเตรียมรับตำแหน่งของนางลาการ์ดเหลือเกิน มุมมองเชิงเปิดกว้างของเธอ ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อสกุลเงินดิจิทัลโดยภาพรวม
เมื่อเปรียบเทียบกับนายดรากี้ ซึ่งได้เคยกล่าวว่า สกุลเงินดิจิทัลไม่ใช่สกุลเงิน แต่เป็นสินทรัพย์ที่มี “ความเสี่ยงสูง” ดังนั้น จึงสั่งให้ธนาคารกลางออกกฏหมายควบคุมการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล
ทั้งนี้ ราคาบิทคอยน์เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ (BTC/USD) ล่าสุดกำลังเคลื่อนไหวแถว 11,456 เหรียญ ปรับขึ้นจากระดับต่ำเมื่อวันอาทิตย์ที่ 11,145 เหรียญ แต่ในระยะสั้น ราคาถูกจำกัดการเคลื่อนไหวโดยแนวต้าน 11,600 เหรียญ หากผ่านไปได้จะโอกาสขึ้นต่อไปถึงระดับ 12,000 เหรียญ
· ข้อมูลจากธนาคารกลางจีน (PBOC) เปิดเผยว่า จีนมีการสำรองเงินแลกเปลี่ยนต่างประเทศเพิ่มขึ้นที่ 1.823 หมื่นล้านเหรียญในเดือนมิ.ย. สู่ระดับ 3.119 ล้านล้านเหรียญ โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวเกิดขึ้นจากความคาดหวังที่ว่าการสงบศึกชั่วคราวของสหรัฐฯและจีนดูจะช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินหยวน
· ยอดส่งออกเยอรมนีรีบาวน์ได้อย่างแข็งแกร่งในเดือนพ.ค. แต่ก็ยังคงล้มเหลวจากการฟื้นตัวหลังจากที่เดือนก่อนหน้าชะลอตัวลงจากปัญหาข้อขัดแย้งทางการค้า ประกอบกับผลกระทบจากอียูที่ดูจะส่งผลต่อเยอรมนี
ยอดส่งออกเยอรมนีขยายตัวได้ 1.1% ในเดือนพ.ค. สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.5% โดยเดือนเม.ย. ยอดส่งออกหดตัวลง 3.4% ทางด้านยอดนำเข้าร่วงลง 0.5% ในเดือนพ.ค. โดยยอด Trade Balance เพิ่มขึ้นที่ 1.87 หมื่นล้านยูโร (2.099 หมื่นล้านเหรียญ) จากเดิมในเดือนก่อนหน้า 1.69 หมื่นล้านเหรียญ
· บีโอเจยังคงมุมมองทิศทางเศรษฐกิจที่ดูจะขยายตัวหรือฟื้นตัวได้ต่อ แต่ก็กล่าวเตือนว่าจะมีภาคบริษัทอาจได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าของสหรัฐฯและจีนเพิ่มขึ้น
ในรายงานประจำไตรมาสของญี่ปุ่น เผยให้เห็นถึงการที่บีโอเจยังคงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจท่ามกลาง 9 พื้นที่สำคัญที่ยังคงมีอุปสงค์ภายในที่แข็งแกร่งจึงช่วยชดเชยสัญญาณของภาคส่งออกและผลผลิตที่ออ่อนตัวได้ แต่ก็ตระหนักได้ถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อภาคการส่งออกท่ี่ดูจะกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจได้
อย่างไรก็ดี ตลาดดูจะให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงใดๆของการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางๆต่างที่จะหามาตรการรับมือทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นการผ่อนคลายทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นได้ในเร็วๆนี้
· การเติบโตของจีีดีพีญี่ปุ่นในช่วงไตรมาสแรกเติบโตที่ 2.1% แต่บรรดานักวิเคราะห์หลายรายก็ยังคาดว่าอาจเห็นการเติบโตที่ชะลอตัวลงในอีกไม่เกี่เดือนข้างหน้า อันเป็นผลกระทบของการขึ้นภาษีการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่ดูจะบั่นทอนยอดส่งออก แม้ว่าการปรับขึ้นภาษีการขายของญี่ปุ่นในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา อาจยิ่งจำกัดการอุปโภคบริโภคได้
· รายงาน CNBC ระบุถึง งานวิจัยจาก Fulbright University Vietnam ร่วมกับ Henry Jackson Society พบว่า จากการศึกษาประวัติของพนักงาน Huawei ระดับกลางขึ้นไป จากฐานข้อมูลออนไลน์และเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง พบว่าพนักงาน Huawei ส่วนหนึ่งมีประวัติที่เกี่ยวข้องกับการทำงานร่วมกับหน่วยข่าวกรองทางการทหารอย่างใกล้ชิด โดยส่วนหนึ่งมีประวัติโยงไปถึงการเจาะระบบและการโจรกรรมข้อมูลจากบริษัทสัญชาติตะวันตก
· รายงานจาก Reuters บ่งชี้ว่า บรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีมุมมองว่า ธนาคารกลางจีนอาจทำการปรับลดดอกเบี้ยได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี หากว่าเฟดมีการปรับลดดอกเบี้ยตามคาดในการประชุมช่วงปลายเดือนนี้ เนื่องจากสมาชิกธนาคารกลางจีนน่าจะดำเนินมาตรการสนับสนุนการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ตลาดเชื่อว่าธนาคารกลางจีนหรือ PBOC มีแนวโน้มที่จะดำเนินนโยบายปรับลดดอกเบี้ยตามเฟด และนี่อาจไม่ถือเป็นครั้งแรกที่เห็น PBOC ดำเนินนโยบายตามเฟด โดยจะเห็นได้ว่าในช่วงปี 2017 และ 2018 จีนก็มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่เฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ย แม้ว่า อัตราการเคลื่อนไหวจะห่างกันระหว่าง 0.5-0.10%
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จีนดูจะลดท่าทีการคุมเข้มนโยบายการเงินมาเป็นผ่อนปรนมากขึ้นเพื่อรับมือกับภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และปัญหาสงครามการค้าที่ดูจะยืดเยื้อและสร้างผลเสียที่เพิ่มขึ้น
นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่า จีดีพีจีนดูจะใกล้กรอบล่างสุดที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายการเติบโตปีนี้ไว้ที่ 6-6.5% ดังนั้น ประเด็นนี้จึงทำให้เกิดคาดการณ์กันเพิ่มขึ้นว่าจีนจำเป็นจะต้องใช้นโยบายสนับสนุนมากขึ้นในเร็วๆนี้
· นายมุน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เรียกร้องให้ประเทศญีปุ่่นถอนมาตรการควบคุมการส่งออกอุปกรณ์ไฮเทคแก่เกาหลีใต้ในเวลานี้ที่ดูจะคุกคามภาวะอุปทานโลก โดยคำสั่งคุมการส่งออกดังกล่าวกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตชิปและสมาร์ทโฟนของเกาหลีใต้ โดยเฉพาะบริษัทซัมซุง และ SK Hynix Inc ที่ดูจะได้รับผลกระทบและอาจทำให้ขาดอุปกรณ์ที่จำเป็นที่อาจต้องถูกเลื่อนการประกอบวัสดุไปก่อน หากมาตรการดังกล่าวของญี่ปุ่นยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป
· ยอดคำสั่งซื้อเครื่องจักรของญี่ปุ่นปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 8 เดือน จากความกังวลเกี่ยวกับสัญญาณความตึงเครียดทางการค้าระดับโลกที่ดูจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนภาคบริษัท แต่อุปสงค์ความแข็งแกร่งภายในประเทศที่ดูจะช่วยชดเชยแรงกดดันนอกประเทศที่มีต่อภาคส่งออกของประเทศ
ในส่วนของค่าใช้จ่ายภาคธุรกิจที่ปรับตัวลงอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางด้านค่าแรงที่แข็งแกร่งได้ และดูจะบั่นทอนความคาดหวังของบีโอเจที่จะเห็นการฟื้นตัวได้ของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่จะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของราคาสินค้าและค่าแรง ที่ดันให้เงินเฟ้อถึงเป้า 2%
· รัฐบาลอิหร่านประกาศจะเพิ่มปริมาณการถือครองแร่ยูเรเนียมให้สูงกว่าขอบเขตที่ข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ปี 2015 กำหนดไว้ โดยจะทยอยเพิ่มการถือครองทุกๆ 60 วัน จนกว่าประเทศพันธมิตรจากสหภาพยุโรปจะยอมให้ความช่วยเหลือปกป้องอิหร่านจากการถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการเช่นนี้ อาจทำให้ฝั่งสหรัฐฯออกมาเคลื่อนไหวรุนแรงกว่าเดิมได้
· ราคาน้ำมันดิบเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ท่ามกลางเหล่าเทรดเดอร์ที่ถูกกดดันจากประเด็นทางการเมืองการสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐิจโลก แม้ว่าจะได้รับแรงหนุนจากข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯที่ออกมาอย่างแข็งแกร่งก็ตาม
ราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 3 เซนต์ ที่ระดับ 64.20 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 6 เซนต์ ที่ระดับ 57.57 เหรียญ/บาร์เรล
สำหรับภารวมรายสัปดาห์น้ำมันดิบปรับตัวลดลงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจากความไม่แน่นอนเกียวกับภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งถูกกดดันจากภาวะอุปทาน โดยน้ำมันดิบ Brent ลดลงกว่า 3% ด้านน้ำมันดิบ WTI1 ลดลงกว่า 1.5%
ทั้งนี้ หุ้นส่วนผู้จัดการประจำ Vanguard Markets in Bangkok ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบเปิดอย่างระมัดระวัง โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯที่ออกมาดีกว่าที่คาด
อย่างไรก็ดี เหล่าเทรดเดอร์ยังคงระมัดระวังการซื้อขายเนื่องจากกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
· นักวิเคราะห์จาก DailyFX มองว่า ราคาน้ำมันมีโอกาสกลับทดสอบบริเวณ 57.88 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งหากราคาหลุดต่ำกว่า 60.39 - 60.95 เหรียญ/บาร์เรลก็มีโอกาสกลับทำ Low ดังกล่าวได้ ขณะที่แนวรับด้านล่างอยู่ที่ 54.55 เหรียญ/บาร์เรล โดยหากต่ำกว่ามีโอกาสกลับลงทดสอบเป้าหมาย 51.33 - 50.31 เหรียญ/บาร์เรล