ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯสามารถปรับตัวสูงขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่ได้ แต่ว่าก็มีกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับการประกาศผลประกอบการครั้งต่อไปที่อาจจะออกมาในแย่ลง ทำให้เกิดเป็นคำถามที่ว่า ตลาดหุ้นที่ปรับสูงขึ้นได้จากเฟด จะปรับลดลงมาเท่าใดหากการประกาศผลประกอบการออกมาไม่ค่อยสดใสนัก
นักวิเคราะห์จาก Miller & Washington มีมุมมองว่า เฟดจะเป็นปัจจัยหลักที่หนุนตลาดหุ้น ในกรณีที่ตลาดหุ้นไม่ได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่สดใส หรือพอร์ตงบดุลที่แข็งแกร่งขึ้น เฟดจะเป็นเพียงปัจจัยเดียวที่หนุนตลาด
ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.25% ในการประชุมเดือนนี้ โดยระดับดอกเบี้ยในปัจจุบันของเฟดอยู่ที่ 2.25 – 2.50% ขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วนเชื่อว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้งในปีนี้ โดยอาจปรับลดดอกเบี้ยลงครั้งละ 0.25% มากถึง 3 ครั้งภายในสิ้นปีนี้
นักวิเคราะห์จากสถาบัน CFRA ประเมินว่า หากเฟดไม่ปรับลดดอกเบี้ยตามคาด ตลาดหุ้นก็จะปรับตัวลงไปเสียเอง ทั้งนี้ จากประวัติศาตร์จะเห็นได้ว่า หากตลาดหุ้นปรับขึ้นเพราะกระแสคาดการณ์ว่าจะเห็นเฟดลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นก็จะยังสามารถเติบโตต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง หลังเฟดเข้าสู่วัฏจักรปรับลดดอกเบี้ย โดยนับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ดัชนี S&P 500 สามารถเติบโตขึ้นได้ 10.3% เป็นระยะเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่เฟดเริ่มปรับลดดอกเบี้ย และปิดรายปีนั้นๆในแดนบวกได้ถึง 14%
นักวิเคราะห์จาก Prudential Financial มีความเห็นว่า นอกจากแรงหนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดแล้ว ตลาดยังต้องเห็นถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาอย่างมั่นคง และความขัดแย้งทางการค้าถูกคลี่คลายลง นั่นถึงจะช่วยให้ตลาดหุ้นสามารถปรับสูงขึ้นได้อย่างมาก โดยตลาดกำลังพิจารณาว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลงมากแค่ไหน แต่เฟดกำลังเผชิญความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าที่เกิดจากการขึ้นภาษี จึงทำให้สัญญาณของการปรับลดดอกเบี้ยยังไม่ค่อยชัดเจนนัก
ทั้งนี้ ผลประโยชน์โดยตรงที่ตลาดหุ้นจะได้รับจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง คือค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง นั่นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่สามารถปรับสูงขึ้นได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นบริษัทรายเล็กหรือรายใหญ่ ประกอบการในประเทศหรือนอกประเทศ ต่างก็จะได้รับผลประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง และผลประโยชน์นั้นก็จะถูกส่งต่อไปยังบรรดาตลาดเกิดใหม่ ประเทศจีนเองก็จะได้รับผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน
ที่มา: CNBC