• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 18 กรกฎาคม 2562

    18 กรกฎาคม 2562 | Economic News


· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.2% แถว 97.081 จุด ท่ามกลางความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่แข็งแกร่งในภาพรวม ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับลดลงทำระดับต่ำสุดในรอบ 9 วัน


เมื่อวานนี้ ดัชนีดอลลาร์ขึ้นไปทำระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ ที่ระดับ 97.444 จุด หลังตัวเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯประกาศออกมาแข็งแกร่ง ประกอบกับการอ่อนค่าของเงินปอนด์

· นักวิเคราะห์จากสถาบัน Gaitame.Com ประเมินว่า ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับลดลง ประกอบกับการถ้อยแถลงของ IMF ที่ระบุว่า ดอลลาร์แข็งค่ามากเกินไป ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์กลับลงมาเคลื่อนไหวในกรอบเดิมของช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

ทั้งนี้ แม้ตัวเลขทางเศรษฐกิจจะส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่ภาพรวมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และค่าเงินดอลลาร์ยังเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่า จากกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ย ในการประชุมเดือนนี้

· เฟดถูกคาดการณ์ว่าพวกเขาจะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเดือนนี้ ขณะที่บางส่วนคาดการณ์ว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงถึง 0.50%


· ค่าเงินปอนด์แข็งค่าเล็กน้อยแถว 1.2438 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากที่อ่อนค่าทำระดับต่ำสุดที่ 1.2382 ดอลลาร์/ปอนด์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของเดือน เม.ย. 2018 ท่ามกลางความเสี่ยงว่าจะเกิดภาวะ No-deal Brexit ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่แรงเทขายจะเริ่มอ่อนแรงลง

· ค่าเงินยูโรแข็งค่าต่อจากเมื่อวานอีก 0.1% แถว 1.1238 ดอลลารฺ/ยูโร แต่การเคลื่อนไหวของค่าเงินถูกจำกัดเนื่องจากกระแสคาดการณ์ว่า อีซีบีอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดภายในการประชุมสัปดาห์หน้า


· ศาสตราจารย์ Venki Ramakrishnan จากสถาบันวิจัย Royal Society เตือนผู้นำพรรคการเมืองในอังกฤษ ว่าหากอังกฤษถอนตัวออกจากอียูแบบ No-deal จะส่งผลกระทบให้การดำเนินงานวิจัยร่วมกันระหว่างอียูและอังกฤษเป็นไปอย่างยากลำบากยิ่ง

ทั้งนี้ ผลการวิจัยของสถาบันพบว่า อียูมีการร่วมมือกับอังกฤษในด้านงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นจากที่เคยประเมินไว้ โดยงานวิจัยกว่า 1 ใน 3 ของอังกฤษ เป็นผลงานที่ร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ของอียู เมื่อเทียบกับการดำเนินงานร่วมกับสหรัฐฯคิดเป็น 1 ใน 5 เท่านั้น

การถอนตัวแบบ No-deal อาจทำให้การยื่นเรื่องขอวีซ่าให้กับนักวิทยาศาสตร์ของอียูเดินทางสู่อังกฤษ มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับการเดินทางไปยังประเทศอื่นๆ และนักวิทยาศาสตร์ที่กำลังดำเนินงานวิจัยอยู่ในอังกฤษโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายสำหรับงานวิจัย อาจจำเป็นต้องควักเงินของตัวเองเพื่อสนับสนุนงานวิจัยต่อ หากรัฐบาลไม่สามารถหาข้อตกลงที่เหมาะสมได้

· นายบอริส จอห์นสัน ผู้ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่า เขาจะทำการ Shut down รัฐบาลอังกฤษเพื่อสนับสนุนให้เขาสามารถผลักดัน No-deal Brexit หรือไม่ แต่ยอมรับว่า หากดำเนินการเช่นนั้น จะช่วยให้เขาสามารถดำเนินนโยบายได้ง่ายขึ้นจริง

รายงานจาก Sky News ระบุว่า นายบอริสกำลังพิจารณาจัดการปราศรัยของสมเด็จพระราชินีขึ้นในเดือน พ.ย. เพื่อกล่าวแถลงการณ์เกี่ยวกับการดำเนินนโยบาย นั่นหมายความว่า หากทำการ Shutdown รัฐบาลจริง บรรดา ส.ส. จะหยุดทำงานลงชั่วคราวเป็นเวลา 2 สัปดาห์ก่อนถึงการปราศรัย โอกาสที่จะยับยั้งไม่ให้นายบอริสผลักดัน No-deal Brexit ก็จะถูกลดทอนลงไป

ทั้งนี้ นายบอริสมีแนวโน้มที่จะถูกประกาศชื่อเป็นผู้ชนะในการเลือกผู้นำพรรค Conservative ภายในวันอังคารสัปดาห์หน้า หมายความว่านายบอริสจะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายบอริสได้เคยไว้ว่าจะพยายามเจรจาหาข้อตกลงร่วมกับอียูให้ได้ แต่ก็พร้อมที่จะถอนตัวออกไปโดยปราศจากข้อตกลง

· นักวิเคราะห์จากสถาบัน Lowy ประเมินว่า จีนมีตัวเลือกที่หลากหลายสำหรับการต่อกรกับสหรัฐฯในศึกสงครามการค้า แต่การเทขายพันธบัตรไม่ใช่วิธีตอบโต้ที่จีนจะเลือกใช้

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาบัญชีเดินสะพัดของจีน พบว่ามียอดขาดดุลอยู่ที่ 1% หากจีนดำเนินการอะไรบางอย่างกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลกระทบจะเกิดขึ้นกับการถือครองค่าเงินดอลลาร์ของทางจีนเอง ซึ่งจีนคงไม่อยากให้เกิดผลกระทบเช่นนั้น

สำหรับวิธีต่อกรที่เป็นไปได้มากที่สุด คือการควบคุมการเข้าถึงตลาดของบรรดาธุรกิจ โดยจีนสามารถเลือกได้ว่าจะอนุญาติให้บริษัทต่างชาติบริษัทใดสามารถเข้าถึงตลาดจีนได้ และยังทำได้ไปจนถึงการช่วยผลักดันตัวตนของบริษัทนั้นๆในตลาดจีน หรือปฏิเสธการมีอยู่บริษัทนั้นๆไปโดยสิ้นเชิงก็ทำได้

· ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯที่ยังดำเนินต่อไป บรรดานักลงทุนต่างพากันถอนเม็ดเงินออกจากตลาดจีน และย้ายเม็ดเงินเหล่านั้นไปยังตลาดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้มากนัก ซึ่งนักวิเคราะห์จากสถาบัน Janus Henderson Investors แนะนำ ให้นักลงทุนพิจารณาเลือก ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย

ทั้ง 2 ประเทศที่กล่าวมา แม้จะไม่ใช่ตัวเลือกอันดับแรกๆของบรรดานักลงทุน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศอยู่ในระดับที่ดีมาก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของกระแสอุปทาน ทำให้ทั้ง 2 ประเทศได้รับผลประโยชน์จากสงครามการค้าครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์แนะนำให้เลี่ยงการลงทุนในตลาดเอเชียเหนือ โดยเฉพาะ จีน ไต้หวัน และ เกาหลีใต้ เนื่องจากประเทศเหล่านี้ เป็นกำลังสำคัญของกระแสอุปทานเทคโนโลยีทั่วโลก และสงครามการค้าของสหรัฐฯ-จีน ก็เริ่มเพ่งเล็งไปยังการกีดกันเทคโนโลยีของแต่ละฝ่าย ผลกระทบจึงอาจเกิดขึ้นกับประเทศเหล่านี้ตามมา

· ราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวผสมผสานกัน หลังจากน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจาก

ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ อย่างเช่น น้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในสัปดาห์ที่แล้ว

โดยน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 0.1% ที่ระดับ 63.72 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ลดลง 0.1% ที่ระดับ 56.7 เหรียญ/บาร์เรล

· สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) เผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5 โดยลดลง 3.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 4.2 ล้านบาร์เรล ด้านสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐฯ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯลดลง 1.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว

ด้านสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3.6 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 5.7 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรล

ขณะเดียวกันพายุเฮอริเคนระดับ 1 Barry ซึ่งพัดขึ้นฝั่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้การผลิตน้ำมันดิบแถบอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐฯ บางแห่งหยุดหรือชะลอการผลิตลง

อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายยังคงจับตามองท่าทีสหรัฐฯ และอิหร่าน หลังทั้งสองฝ่ายให้ผลความคืบหน้าเรื่องข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านแตกต่างกัน โดยสหรัฐฯ ระบุว่ามีความคืบหน้าในการเจรจาไปมาก ขณะที่อิหร่านปฏิเสธที่จะเจรจาเรื่องการพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีป


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com