• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 26 กรกฎาคม 2562

    26 กรกฎาคม 2562 | Economic News


· ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์เมื่อเทียบกับเงินเยน หลังบรรดานักลงทุนลดกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดลง ก่อนหน้าการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯคืนนี้


· ค่าเงินยูโรทรงตัวหลังการประชุมอีซีบีเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยอีซีบีมีมติคงอัตราดอกเบี้ย สร้างความผิดหวังให้กับตลาดบางส่วนที่คาดหวังว่าจะมีการผ่อนคลายนโยบาย ขณะที่รายงานจาก Reuters ระบุว่า มีโอกาสสูงที่อีซีบีจะทำการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไป

ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินเยนแถว 108.620 เยน/ดอลลาร์ ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 108.755 เยน/ดอลลาร์ โดยค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มปิดตลาดในแดนบวก 0.8% ซึ่งจะเป็นอัตราที่มากที่สุดนับตั้งแต่สัปดาห์ของวันที่ 5 เม.ย.

ด้านดัชนีดอลลาร์ทรงตัวแถว 97.968 จุด หลังขึ้นไปทำระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ที่ 98.173 จุด ภาพรวมรายสัปดาห์มีแนวโน้มปิดในแดนบวก 0.7%

ค่าเงินยูโรฟื้นตัวเล็กน้อยขึ้นมาเคลื่อนไหวแถว 1.1151 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนที่ 1.1102 ดอลลาร์/ยูโร แต่ในภาพรวมรายสัปดาห์มีแนวโน้มปิดลบ 0.6%

EUR/USD ทรงตัวหลังการประชุมอีซีบี ตลาดจับตาจีดีพีสหรัฐฯคืนนี้


ค่าเงินยูโรเมื่อเทียบดอลลาร์ทรงตัวแถว 1.1150 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นกึ่งกลางระหว่างกรอบที่ค่าเงินผันผวนในช่วงการประชุมอีซีบีเมื่อคืนนี้ ซึ่งมีนโยบายคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด ตลาดจึงหันมาจับตาการประกาศตัวเลขจีดีพีของสหรัฐฯในคืนนี้ต่อ

ในเชิงเทคนิค ทิศทางของค่าเงินยูโรยังไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ โดยทิศทางระยะสั้นยังคงเป็นขาลง อย่างไรก็ตาม หากต้องการเปิดสถานะ Short แนะนำให้รอการ Breakout ที่ชัดเจนแถวแนวรับสำคัญ 1.1100 ดอลลาร์/ยูโรเสียก่อน โดยหากค่าเงินหลุดแนวรับนี้ลงมา จะโอกาสย่อตัวลงไปถึงระดับ 1.1070 ดอลลาร์/ยูโร และจะตามมาด้วย 1.1000 ดอลลาร์/ยูโร

ในทางกลับกัน ค่าเงินจะมีแนวต้านแรกอยู่แถว 1.1185 – 1.1190 ดอลลาร์/ยูโร หากผ่านแนวต้านนี้มาได้ ค่าเงินจะโอกาสขึ้นทดสอบแถว 1.1270 – 1.1280 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งใกล้เส้นค่าเฉลี่ยราย 100 วัน


· หน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจแห่งกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะเปิดเผยคาดการณ์การเติบโตของ GDP สหรัฐฯสำหรับไตรมาสที่ผ่านมา ในคืนนี้ เวลาประมาณ 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งจะเป็นตัวเลขชุดแรกจากทั้งหมด 3 ชุดที่จะตามมาภายหลัง

Forecast

GDP สหรัฐฯถูกคาดการณ์ว่าจะชะลอตัวลงสู่ระดับ 1.8% ในไตรมาสที่ 2/2019 จากเดิมที่คาดกาณณ์ไว้ที่ 3.1% ในช่วงไตรมาสที่ 1/2019 และ 2.2% ในช่วงไตรมาสที่ 4/2018 ขณะที่คาดการณ์ของ Reuters ประเมินกรอบไว้ระหว่าง 1.1% – 2.9%


ภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจด้านอื่นๆ อย่างเช่น ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจถูกประกาศออกมาที่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี ขณะที่ดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรมประกาศออกมาที่ 51.7 สำหรับเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 2016 ส่วนดัชนียอดคำสั่งซื้อใหม่ประกาศออกมาที่ระดับ 50 จุด ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. ปี 2015

Conclusion

จึงกล่าวโดยสรุปได้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯสำหรับฝั่งผู้บริโภคยังคงแข็งแกร่ง แต่ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการกลับเคลื่อนไหวแถวระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า และภาวะ Brexit ทำให้บรรดาผู้ประกอบการลังเลที่จะเพิ่มค่าใช้จ่ายหรือการลงทุน การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ไม่เพียงพอที่จะช่วยทดแทนผลประกอบการที่อาจสูญเสียไปจากตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีบริษัทสหรัฐฯหลายแห่งที่ลงทุนในตลาดต่างประเทศ

· นายโทชิมิซึ โมเทกิ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจแห่งญี่ปุ่น กำลังเตรียมการสำหรับการพบกับนายโรเบิร์ต ไรท์ไฮเซอร์ ตัวแทนการค้าสหรัฐฯ ณ กรุงวอชิงตัน วันที่ 1 ส.ค. นี้ สำหรับการเจรจาการค้าในระดับรัฐมนตรี

ก่อนหน้านี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พยายามกดดันญี่ปุ่นให้เร่งจัดการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงการค้า และเปิดตลาดญี่ปุ่นรับสินค้าจากสหรัฐฯมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มการเกษตร และให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาดุลการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศ

· นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ สัญญาว่าจะผลักดันให้อังกฤษกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งเป็นคำพูดที่เหมือนกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในถ้อยแถลงรับตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา

ทั้งนี้ นายจอห์นสันได้รับคำชื่นชมจากนายทรัมป์ และยกย่องให้เป็น ทรัมป์แห่งอังกฤษ เนื่องจากนายบอริสพยายามผลักดันให้เกิดข้อตกลงทางการค้ากับอียูก่อนการถอนตัวออก และฟื้นฟูเศรษฐกิจอังกฤษที่อ่อนแอลงในสมัยของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์

ขณะที่นายเอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส จะเดินทางมายังอังกฤษภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อเจรจา Brexit กับนายบอริสที่เป็นผู้เชิญชวนนายมาครงโดยตรง

· รายงานจากสำนักข่าว Kyodo ระบุว่า รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาและอาจอนุมัติให้ลบชื่อเกาหลีใต้ออกจากบัญชี White list ซึ่งเป็นรายชื่อประเทศที่ญี่ปุ่นมีข้อจำกัดทางการค้าด้วยน้อยที่สุด อย่างเร็วที่สุด ภายในวันที่ 2 ส.ค. และหากถูกลบชื่อออกจริง ผลบังคับใช้จะตามมาหลังจากนั้น 21 วัน

ก่อนหน้านี้ เกาหลีใต้เคยเรียกร้องไม่ให้ญี่ปุ่นลบชื่อเกาหลีใต้ออกจากบัญชีรายชื่อ White list เนื่องจากจะทำให้การเจรจาในภายภาคหน้าเป็นไปอย่างยากลำบาก และอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ รายชื่อในบัญชี White list ของญี่ปุ่นในปัจจุบัน มีอยู่ทั้งหมด 27 ประเทศ ซึ่งรวมถึง เยอรมนี อังกฤษ และสหรัฐฯ

· รัฐบาลสหรัฐฯจะเริ่มจ่ายเงินชดเชยให้กับเกษตรกรสหรัฐฯที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า เป็นมูลค่า 15 – 150 เหรียญ ต่อ พื้นที่ 1 เอเคอร์ โดยทั้งโครงการจะมีมูลค่ารวมประมาณ 1.6 หมื่นล้านเหรียญ และเกษตรกรที่ประกอบกิจการอยู่ในพื้นที่ภาคใต้จะได้รับเงินชดเชยด้วยอัตราที่มากกว่าภาคกลางและตะวันตก

โครงการจ่ายเงินชดเชยจะเริ่มต้นขึ้นภายในช่วงกลางถึงปลายเดือน ส.ค. ซึ่งเป็นโครงการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯและพรรครีพับลิกันประสบความสำเร็จในการผลักดันเมื่อปีที่ผ่านมา



· รายงานผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จาก Bloomberg ชี้ว่า การประชุมเฟดสัปดาห์หน้าน่าจะตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ย และจะมีการปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้ แต่เฟดอาจไม่ได้ก้าวสู่การขยายวัฎจักรการผ่อนคลายนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน

หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก KPMG LLP กล่าวว่า หากเฟดประสบความสำเร็จในการกระตุ้นเศรษบกิจด้วยการปรับลดดอกเบี้ย ก็อาจเห็นเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยได้อีกครั้งก่อนที่จะเกิดภาวะถดถอยครั้งต่อไป

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนในตะวันออกกลาง แม้ว่าแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่น่าจับตามองท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนนั้นจะกดดันการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันก็ตาม

โดยราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 0.4% ที่ระดับ 63.64 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.6% ที่ระดับ 56.20 เหรียญ/บาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com