· หุ้นสหรัฐฯร่วงหนักวานนี้ และทำให้ตลาดดูจะเป็นระดับวันที่แย่ที่สุดของปีอีกครั้ง จากความกังวลเรื่องสงครามการค้า ประกอบกับการที่จีนจะทำการตอบโต้การเคลื่อนไหวล่าสุดของนายทรัมป์
ดัชนีดาวโจนส์ปิด -767.27 จุด หรือ -2.9% ที่ระดับ 25,717.74 จุด และภาพรวมรายวันร่วงลงหนักถึง 961.63 จุด ทางด้านดัชนี S&P500 ปิดลดลงเกือบ 3% ที่ระดับ 2,844.74 จุด ทางด้าน Nasdaq ปิด -3.5% ที่ระดับ 7,726.04 จุด ซึ่งดัชนีหลักสามตัวมีอัตราเฉลี่ยการปิดลดลงมากที่สุดของปีนี้ และ ณ ขณะนี้ S&P500 ดูเหมือนจะร่วงลงไปแล้วกว่า 6% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้ในเดือนที่แล้ว
ภาพรวม Nasdaq ร่วงลงติดต่อกัน 6 วันทำการ ปรับลงติดต่อกันยาวนานที่สุดตั้งแต่ช่วงปลายปี 2016 ขณะที่ S&P500 ก็ปิดปรับลงติดต่อกัน 6 วันทำการเช่นกัน ทางด้านดาวโจนส์ปิดปรับลงติดต่อกัน 5 วันทำการ โดยตลาดเผชิญแรงเทขายตั้งแต่ช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าจีนครั้งใหม่ ที่อาจทำให้เฟดล้มเหลวในการส่งสัญญาณต่อความมั่นใจว่าเศรษฐกิจดี ขณะที่ตลาดเริ่มคาดหวังว่าสงครามการค้าจะยิ่งฉุดให้เศรษฐกิจชะลอตัว
· ตลาดหุ้นยุโรปปรับร่วงลง เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสงครามทางการค้าสหรัฐฯและจีนที่มีอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อนักลงทุนทั่วโลก
โดยดัชนี Stoxx600 ลดลง 2.3% ขณะที่ดัชนีภูมิภาคส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนลบ
· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน หลังจากที่จีนจะระงับการเข้าซื้อสินค้าเกษตรกรจากสหรัฐฯเพื่อเป็นการตอบโต้การขึ้นภาษีสินค้าของสหรัฐฯหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ข่มขู่จะขึ้นภาษีจีนรอบใหม่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยเช้านี้ดัชนี Nikkei ลดลง 2.61% เนื่องจากหุ้นหลักส่วนใหญ่และผู้ผลิตหุ่นยนต์ Fanuc ลดลง 3.69 ด้านดัชนี Topix ลดลง 2.4%
ขณะที่ดัชนี Kospi เกาหลีใต้ลดลงเช่นเดียวกันที่ระดับ 1.6% ส่วนดัชนี MSCI ที่ไม่รวมหุ้นญี่ปุ่นลดลง 0.76%
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ระหว่าง 30.75 - 30.90 บาท/ดอลลาร์ โดยปัจจัยที่ตลาดจับตาดูเป็นเรื่องทิศทางค่าเงินหยวน ความคืบหน้าการเจรจาลดขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน และการประกาศตัวเลขดัชนี ISM ภาคบริการของสหรัฐฯ และการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันพรุ่งนี้
- รมว.คลังไทย เผยเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นแพคเกจใหญ่ภายในเดือนส.ค.นี้ โดยหวังจะส่งผลให้เศรษฐกิจเป็นบวก โดยมาตรการที่จะออกมาจะเน้นดูแลคนทุกกลุ่มตั้งแต่ระดับฐานราก ทั้งเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ผู้ค้าขายในระดับชุมชน รวมถึงผู้ประกอบการรายเล็ก รายย่อย หรือกลุ่มสตาร์ทอัพ รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภาพรวม ไม่ใช่เฉพาะในเมืองรอง
- รมว.อุตสาหกรรมไทย เผยเร็วๆ นี้จะนัดหารือกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อหาแนวทางที่จะช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท เพราะเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อความเข้มแข็งของภาคอุตสาหกรรม โดยมองว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมควรอยู่ที่ระดับ 32 บาท/ดอลลาร์
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในการประชุมครั้งที่ 5 ของปี 2562 ในวันที่ 7 สิงหาคม 62 น่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% โดยมองว่า กนง.ยังคงให้น้ำหนักกับปัจจัยความเสี่ยงเชิงเสถียรภาพในระบบการเงิน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่แม้จะมีแรงส่งชะลอลง แต่ยังคาดหวังผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังที่จะประคองภาพรวมเศรษฐกิจไทยให้ปรับดีขึ้นจากครึ่งแรกของปี
- นักลงทุนญี่ปุ่นมองเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังของปีนี้ดีกว่าครึ่งปีแรก ทำให้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้น ซึ่งปัญหาในช่วงที่ผ่านมามีข้อกังวล 3 เรื่อง คือ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน และปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน
- นักวิเคราะห์เผยการที่เงินหยวนร่วงลงอย่างกระทันหันนั้นถือเป็นสัญญาณที่ว่า ธนาคารกลางจีนจะเปิดทางให้เงินหยวนอ่อนค่าลงมากกว่านี้ หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมาขู่เรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีก 10% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 3 แสนล้านเหรียญ