· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ หลังความเชื่อมั่นในตลาดเริ่มกลับมามีความสมดุลอีกครั้ง เนื่องจากค่าเงินหยวนจีนเริ่มกลับมาทรงตัวหลังจากปรับอ่อนค่าลงเมื่อไม่กี่วันมานี้ ส่งผลให้บรรดานักลงทุนเริ่มกลับเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงเป็นบางส่วน
ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวบริเวณ 97.58 จุด แต่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.1% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ออสเตรเลียและปอนด์อังกฤษ
ตลาดยังคงกระแสคาดการณ์อย่างหนาแน่นว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือน ก.ย. จึงเป็นปัจจัยที่กดดันค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินยูโรและเยน
· ค่าเงินเยนแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แถวระดับ 106.185 เยน/ดอลลาร์ โดยทำระดับแข็งค่าสุดที่ 105.500 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค. ก่อนที่จะอ่อนค่าเล็กน้อย
นักวิเคราะห์จาก IG Securities ประเมินว่า ค่าเงินเยนมีแนวโน้มจะชะลอการแข็งค่าเมื่อกับดอลลาร์ แต่ในระยะยาวจะยังคงทิศทางแข็งค่าต่อไปได้ เนื่องจากค่าเงินสกุลอื่นๆที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยงยังคงอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินเยนที่เป็น safe-haven
· นักวิเคราะห์จาก FXStreet ระบุว่า ค่าเงินยูโรสะสมพลังบริเวณ 1.1200 ดอลลาร์/ยูโร โดยตลาดอ่อนตัวลงหลังจากที่ค่าเงินหยวนถูกปรับแข็งค่าขึ้น ในขณะท่ี่ถ้อยแถลงสมาชิกเฟดเปิดกว้างต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
ในทางเทคนิคกราฟแท่งเท่ียนฟอร์มตัวเป็นรูปแบบ Doji ในภาพรายวัน ขณะที่เส้น EMA 100 วันเคลื่อนไหวอยู่แถว 1.1240-1.1250 ดอลลาร์/ยูโร และอาจมีการปรับแข็งค่าขึ้นไปแตะ 1.1300 ดอลลาร์/ยูโรได้ และหากผ่านไปได้ มีโอกาสเห็นที่ระดับ 1.1300 ดอลลาร์/ยูโร และจะมีแนวต้านถัดไปบริเวณ 1.1365 - 1.1370 ดอลลาร์/ยูโร ก่อนที่จะไปแตะ 1.1400 ดอลลาร์/ยูโรได้อีกครั้ง
ในทางกลับกัน หากหลุดต่ำกว่า 1.1200 ดอลลาร์/ยูโร ก็มีโอกาสกลับลงทดสอบ 1.1185 ดอลลาร์/ยูโร และอาจเห็นยูโรอ่อนค่ากลับลงมาที่ 1.1155 - 1.1150 ดอลลาร์/ยูโร และหากไม่สามารถยืนได้ต่อก็มีโอกาสกลับลงมาที่ 1.1100 ดอลลาร์/ยูโร รวมทั้งอาจอ่อนค่าทดสอบ 1.1000 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับสำคัญทางจิตวิทยาในตลาดได้
· เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมากล่าวโจมตีเฟดอีกครั้งทางทวิตเตอร์ โดยระบุว่า ปัญหาของเรา คือการที่เฟดภูมิใจมากเกินไปต่อการเดินหมากที่ผิดพลาดต่อการดำเนินนโยบายคุมเข้มทางการเมืองที่มากเกินไป ในขณะที่ 3 ธนาคารกลางมีการปรับลดดอกเบี้ย และปัญหาที่แท้จริงของสหรัฐฯไม่ใช่แค่จีนแต่เป็นการดำเนินนโยบายของเฟดด้วยนั่นเอง
· นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวว่า การที่เศรษฐกิจสหรัฐฯยังมีความผันผวนจะสื่อถึงเหตุผลที่เฟดจะเดินหน้าปรับลดดอกเบี้ยต่อ โดยคำกล่าวถ้อยแถลงของเขาเป็นไปในเชิงผ่อนคลาย ท่ามกลางนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ยังคงกล่าวย้ำให้เฟดดำเนินการเพิ่มเติม
· นักบริหารพอร์ตการลงทุนจาก Allianz Global Investors กล่าวว่า การอ่อนค่าของค่าเงินหยวนเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์และสกุลเงินหลักอื่นๆ ดูจะช่วยให้ภาคการผลิตของจีนสามารถขายสินค้าได้ทั่วทุกมุมโลก แม้ว่า ณ ปัจจุบันจะถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าไว้สูงถึง 25% มูลค่านับ 2 แสนล้านเหรียญเมื่อเดือนพ.ค. หลังจากที่การเจรจาการค้าชะงักงัน แต่โดยภาพรวมการอ่อนค่าของเงินหยวนถื่อว่าเป็นการสนับสนุนการส่งออกในจีน ได้แม้ว่าจะมีผลเชิงลบจากการที่นายทรัมป์จะคุกคามการซื้อสินค้าอีก พร้อมกับช่วยให้จีนส่งออกไปยังประเทศอื่นๆได้ดี จึงถือเป็นสัญญาณบวก
· รายงานข้อมูลการค้าจีนออกมาดีขึ้นกว่าที่คาด แม้ว่าจะมีแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากการถูกขึ้นกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ โดยที่จีนมียอดส่งออกในเดือนก.ค. เพิ่มขึ้นมาที่ 3.3% เมื่อเท่ียบรายปี ขณะที่ยอดนำเข้าลดลงไป 5.6% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ภาพรวมมียอดเกินดุลการค้าที่ 4.506 หมื่นล้านเหรียญ ในเดือนที่ผ่านมา
ยอดเกินดุลการค้าของจีนกับสหรัฐฯอยู่ที่ระดับ 2.797 หมื่นล้านเหรียญในเดือนก.ค. ซึ่งถือเป็นระดับต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ 2.992 หมื่นล้านเหรียญ โดยทางการจีนและสหรัฐฯมียอดเกินดุลการค้าระหว่างกันที่ 1.685 แสนล้านเหรียญ
· หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Capital Economics กล่าวว่า ยอดส่งออกจีนมีแนวโน้มจะชะลอตัวลงต่อในไตรมาสที่ 4 แม้ว่าการอ่อนค่าของเงินหยวนจะช่วยชดเชยได้บางส่วนของผลจากการขึ้นภาษีจากสหรัฐฯรวมทั้งความต้องการนอกประเทศที่อ่อนตัว และถึงแม้ยอดส่งออกในเดือนส.ค.จะได้รับอานิสงส์ ก่อนการขึ้นภาษีรอบใหม่ของสหรัฐฯในวันที่ 1 ก.ย. นี้ แต่ก็น่าจะขึ้นได้ไม่มาก ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังคงชะลอตัว ที่มีแนวโน้มจะกดดันต่อปริมาณการนำเข้าของจีน
· ธนาคารกลางจีนกำหนดค่ากลางเงินหยวนที่ระดับ 7.0039 หยวน/ดอลลาร์ในวันนี้ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่ามากที่สุดตั้งแต่ 21 เม.ย. ปี 2008
ขณะที่กลุ่มนักลงทุนเฝ้าจับตาการเคลื่อนไหวของค่าเงินอย่างใกล้ชิด หลังจากที่ราคาปรับอ่อนค่าไปแตะ 7 หยวน/ดอลลาร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯมีการกล่าวหาว่าจีนทำการปั่นค่าเงิน เพราะนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกในปี 2008 ที่ค่ากลางของเงินหยวนอ่อนค่าไปแตะ 7 หยวน/ดอลลาร์
· รัฐบาลเกาหลีใต้เลื่อนการประกาศลบชื่อประเทศญี่ปุ่นออกจาก “White list” สำหรับช่องทางการส่งออกที่รวดเร็ว ในการประชุมวันนี้ โดยเดิมทีรัฐบาลเกาหลีใต้มีกำหนดจะประกาศภายในวันนี้ แต่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ญี่ปุ่นประกาศผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกวัตถุดิบเซมิคอนดักเตอร์ไปยังเกาหลีใต้ ส่งผลให้เกาหลีใต้เลื่อนการพิจารณาลบชื่อออกไปอย่างไม่มีกำหนด
· นายมุน แจ-อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ กล่าวเตือนญี่ปุ่นเกี่ยวกับการจำกัดการส่งออกมายังเกาหลีใต้ ว่าจะเป็นการกดดันความสามารถในการแข่งขันด้านเทคโนโลยีกับประเทศอื่นๆของญี่ปุ่นเสียเอง และถึงแม้จะเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะได้ผลประโยชน์ในการจำกัดครั้งนี้ แต่ผลประโยชน์ดังกล่าวจะคงอยู่ได้เพียงระยะสั้นๆเท่านั้น และในท้ายที่สุด จะไม่ฝ่ายใดเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ รวมถึงญี่ปุ่นเอง
· รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ กล่าวว่า ท่าทีในการจะบรรลุข้อตกลงกับทางอียูยังคงเป็นไปอย่างยากลำบาก จึงยังสะท้อนถึงภาวะยืดเยื้อของ Brexit
· ในการประชุมธนาคารกลางออสเตรเลียวันนี้ (RBA) ยังคงนโยบายดอกเบี้ยตามเดิม แต่ตลาดรอคอยฟังถ้อยแถลงของผู้ว่าการธนาคารกลางในช่วงเช้าพรุ่งนี้ว่าจะตอกย้ำเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นหรือไม่
ผู้ว่าการธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) กล่าวย้ำถึงท่าทีการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยที่อาจปรับลดดอกเบี้ยสู่ระดับติดลบได้
· ราคาสัญญาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นกว่า 1 เหรียญ โดยเป็นการฟื้นตัวขึ้นได้เกือบครึ่งหนึ่งหลังจากที่ปรับร่วงลงมาเกือบ 5% ในช่วงก่อนหน้า จากกระแสคาดการณ์ของตลาดที่ว่า ราคาน้ำมันที่ตกต่ำจะผลักดันให้เกิดการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน
โดยราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 2.81% แถว 57.81 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 3.15% แถว 52.70 เหรียญ/บาร์เรล