· ค่าเงินเยนแข็งค่า ท่ามกลางความเคลื่อนไหวล่าสุดของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน หลังมีรายงานว่าสหรัฐฯอาจเลื่อนการอนุญาตให้บริษัทสหรัฐฯสามารถมากลับดำเนินธุรกิจร่วมกับ Huawei ได้ออกไป
· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า 0.2% เมื่อทียบกับเงินเยนแถว 105.84 เยน/ดอลลาร์ และมีแนวโน้มปรับอ่อนค่าลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2 โดยนักวิเคราะห์จากประเมินว่า หากค่าเงินอ่อนค่าหลุด 105.50 เยน/ดอลลาร์ เป้าหมายต่อไปจะขยับมาเป็น 105.00 เยน/ดอลลาร์
ค่าเงินหยวนค่อนข้างทรงตัวบริเวณ 7.0816 หยวน/ดอลลาร์ หลังได้รับข่าว แต่ภาพรวมรายสัปดาห์ยังคงอยู่ในแดนอ่อนค่า ซึ่งตลาดยังคงจับตาว่ารัฐบาลจีนจะมีการตอบโต้เช่นไรกับความเคลื่อนไหวล่าสุดของสหรัฐฯ
· ค่าเงินปอนด์เคลื่อนไหวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีเมื่อเทียบกับเงินยูโร หลังมีรายงานว่า นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กำลังเตรียมการจัดการเลือกตั้งหลังวันที่ 31 ต.ค. ที่เป็นเดดไลน์ของ Brexit หรือการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป ขณะที่ค่าเงินปอนด์เมื่อเทียบกับดอลลาร์ค่อนข้างทรงตัวแถว 1.2145 ดอลลาร์/ปอนด์ แต่มีแนวโน้มปิดตลาดในแดนลบติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 4
ทางด้านดัชนีดอลลาร์ในภาพรวมค่อนข้างทรงตัวแถว 97.566 จุด
· ผู้ประท้วงชาวฮ่องกงนับหลายพันคนจะเคลื่อนขบวนไปยังสนามบินนานาชาติของฮ่องกงภายในวันนี้ เพื่อดึงดูดความสนใจจากสายตาของนานาชาติ และจะปักหลักอยู่ในพื้นที่สนามบินเป็นเวลา 3 วัน ขณะที่ทางสนามบินเริ่มเตรียมรับมือกับคลื่นฝูงชนที่จะเคลื่อนขบวนมายังสนามบิน โดยกำหนดว่าผู้ที่จะสามารถเดินทางเข้าเทอมินัล 1 ได้ จะต้องเป็นผู้โดยสารที่มีชื่อระบุอยู่ในเอกสารการเดินทางเท่านั้น
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลทั้งหมด 5 ประกาศ ได้แก่
1. ขอให้ยกเลิกร่างกฏหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศจีนอย่างสมบูรณ์
2. ถอนคำพูดที่ว่าการประท้วงครั้งนี้ เป็นการก่อ “จลาจล”
3. ถอนทุกข้อกล่าวหาที่มีต่อการประท้วง
4.จัดตั้งคณะกรรมการที่ไม่ขึ้นตรงกับฝ่ายใด เพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
5.จัดการเลือกตั้งผู้นำรัฐบาลและรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นภายในปี 2020
· ยอดนำเข้าของเยอรมันนีปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าที่คาด ขณะที่ยอดส่งออกปรับตัวลดลง ท่ามกลางสัญญาณความต้องการภายในประเทศที่ช่วยหนุนให้เศรษฐกิจลดการพึ่งพาอุปสงค์จากต่างประเทศ
สำนักงานสถิติ ระบุว่า ยอดส่งออกในเดือนนี้ปรับลดลง 0.1% ขณะที่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 0.5% ยอดเกินดุลการค้าอยู่ที่ 18.1 พันล้านยูโร หลังจากที่ปรับตัวลดลง 18.1 พันล้านยูโรในช่วงเดือนก่อนหน้า
· ดัชนีราคาผู้ผลิตของประเทศจีนประกาศออกมาชะลอตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยดัชนี PPI เดือน ก.ค. ชะลอตัว 0.3% จากปีก่อนหน้า จึงยิ่งกดดันภาพรวมอัตราเงินเฟ้อของประเทศ และหนุนกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจีนจะมีการออกมาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ท่ามกลางภาวะสงครามการค้ากับสหรัฐฯ
เนื่องจากปริมาณอุปสงค์ทั้งในและนอกประเทศที่อ่อนแอ จึงกดดันให้บรรดาผู้ผลิตต้องลดต้นทุนการผลิตลง เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ขณะที่รายได้ที่ตกต่ำลงส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนลดน้อยลงไป นอกจากนี้ ราคาน้ำมัน แร่เหล็ก และวัตถุดิบอื่นๆที่ตกต่ำ น่าจะมีส่วนในการกดดันราคาผู้ผลิตในเดือนที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน
· ประธานธนาคารกลางออสเตรเลีย กล่าวว่า เศรษฐกิจในประเทศดูส่งสัญญาณที่จะกลับมาขยายตัวได้ ท่ามกลางราคาที่อยู่อาศัยที่กลับมาสูงขึ้น และค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียที่อ่อนค่าลง อย่างไรก็ตาม ยังมีความเป็นไปได้ที่ทางธนาคารกลางจะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ย
· Huawei เปิดตัวระบบปฏิบัติการของพวกเขาเอง ภายใต้ชื่อ HongmengOS หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า HarmonyOS โดยระบบปฏิบัติการนี้จะใช้งานในอุปกรณ์ของ Huawei ตั้งแต่สมาร์ทโฟน ไปจนถึงลำโพง และระบบเซ็นเซอร์ต่างๆ โดยจะเริ่มใช้งานเฉพาะภายในประเทศจีนก่อน และจะขยายออกไปสู่ทั่วโลกภายหลัง
ทั้งนี้ ทาง Huawei ยืนยันว่ายังคงต้องการใข้ระบบปฏิบัติการ Android แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องย้ายไปใช้ระบบปฏิบัติการ HarmonyOS ก็สามารถดำเนินการได้โดยง่ายภายในระยะเวลาเพียง 1 หรือ 2 วัน
· นักวิเคราะห์จากสมาคม PVM Oil Associates เตือน ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จีนอาจตอบโต้สงครามการค้ากับสหรัฐฯด้วยการลดการบริโภคน้ำมันของสหรัฐฯลงเป็นปริมาณมากหรือแม้กระทั่งหยุดการนำเข้าน้ำมันจากสหรัฐฯลงทั้งหมด
เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ปริมาณการนำเข้าน้ำมันสหรัฐฯของประเทศจีนเพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับ 247,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งเป้นระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือร ซึ่งนักวิเคราะห์ได้เตือนว่า หากสงครามการค้ายังคงยืดเยื้อ การส่งออกน้ำมันของสหรัฐฯอาจถึงจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
· นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs มีมุมมองว่า บีโอเจอาจมีตัวเลือกไม่มากนักสำหรับการออกนโยบายการเงินเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจญี่ปุ่น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่น แม้จะถูกคงไว้ที่ระดับ -0.1% มาตั้งแต่เดือน ม.ค. ปี 2016 อัตราเงินเฟ้อก็ยังไม่สามารถเติบโตได้ถึงเป้าหมายที่วางไว้เสียที ดังนั้น ญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะลดการพึ่งพานโยบายการเงินในการเกื้อหนุนเศรษฐกิจ และหันมาให้ความสำคัญกับนโยบายการใช้จ่ายมากขึ้น
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากกระแสคาดการณ์การปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ส่งผลกระทบต่อตลาด
สัญญาน้ำมันดิบ Brent สูงขึ้น 0.3% ที่ระดับ 57.54 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบ WTI สูงขึ้น 0.3% ที่ะรดับ 52.68 เหรียญ/บาร์เรล
โดยทั้งสองสัญญาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นกว่า 2% เมื่อวานนี้ ฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากรายงานจากซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกได้เรียกร้องให้ผู้ผลิตรายอื่นหารือเกี่ยวกับราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงเมื่อเร็ว ๆ นี้
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบยังคงร่วงลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา จึงทำให้เคลื่อนไหวในแดนลบ